เปลว สีเงิน
ชีวิตเดิม ดีๆ….
เติมเข้ามาอีกปี ก็ “ซูเปอร์ แฮปปี้” ปี ๒๕๖๘ น่ะซีครับ!
สะบักสะบอม จากฉลองกันเมื่อคืนกระมัง
ไม่รู้ว่าป่านนี้ ตื่นขึ้นมา วักน้ำล้างขี้ตา ดื่มน้ำ-ดื่มท่า กินข้าว-กินปลากันหรือยัง?
ปีใหม่อย่างนี้ ไม่มีใครสนใจคุยอะไรที่มันรกหัวหรอก จริงมั้ย ยิ่งกับการอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง
เพราะ “ลืม-เลิกอ่าน” กันไปนานแล้ว
ยุคนี้ ใครเอ่ยถึงหนังสือพิมพ์..งงทั้งตำบล!
อะไรนะ…หนังสือพิมพ์ หน้าตามันเป็นไง ไม่เคยเห็น เหมือน “หมูเด้ง” มั้ย?
นั่นคือสัญญาน สื่อประเภท “หนังสือพิมพ์” อายุกาลใกล้ต่อจากยุค “ไดโนเสาร์” เข้าไปทุกขณะแล้ว
หนังสือพิมพ์ที่ยังมีอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจจะ “สูงสุดคืนสู่สามัญ” ตามๆ กันไปอีกซักมากน้อยเท่าไร?
“ไทยโพสต์” ก็เหอะ คนไปอ่านทางเว็บ ดูข่าวไทยโพสต์ออนไลน์กันมากต่อมาก เหลือรุ่น “ออริจินัล” นี่ไม่เท่าไหร่ ที่ยังส่องแว่นขยายอ่านไทยโพสต์อยู่
อย่างคอลัมน์ “คนปลายซอย” นี่ เขียนลงหนังสือพิมพ์แล้วเอาไปลงเว็บ “เปลว สีเงิน” (www.plewseengern.com) เล่นสนุกๆ ดูยอดคนติดตามอ่านยังตั้ง ๒๐ กว่าล้าน
ถ้าซื้อไทยโพสต์อ่านซัก ๕ เปอร์เซนต์ ๑๐ เปอรเซนต์ สำนักงานไทยโพสต์ “เลี่ยมทอง” ไปนานแล้ว!
สรุปว่า คนดู-คนอ่านไทยโพสต์จากเว็บและจากยูทูปมากขึ้นทุกวัน
แต่คนซื้อหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์อ่าน ลดลงทุกวัน!
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้องตื่นตระหนกตกจิตหรอกครับ มันเป็นวัฎฎะของโลกที่เราต้องทำความเข้าใจ
อยากอยู่ “ก็ต้องปฎิบัติตามคำสอนพระพุทธองค์” จงหมุนไปตามโลก “แต่อย่าติดอยู่ในโลก”
“หมุนตามโลก” ถ้าตีความสนองจริตตัวเอง ก็ทำนองคนอ่านชอบแบบไหน เราก็สรรหาข่าวราวเรื่องแบบนั้นมาปรนเปรอคนอ่าน
แต่พอถึงคำว่า “อย่าติดอยู่ในโลก” อาจตีความไปคนละทาง-สองทาง แต่ในความเข้าใจผม คือ
“หมุนตามโลก” หมายถึง เราไม่จำเป็นต้องฝืนกระแสโลก
“อย่าติดอยู่ในโลก” หมายถึง แต่อย่าให้กระแสโลกลากไป จนไร้แก่นทางสำนึกผิด-ชอบ, ชั่ว-ดี
“ปวงชนชาวไทย” รัฐธรรมนูญกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้
แต่ “สื่อ” รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนด
แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดหน้าที่คนทำสื่อล่ะ?
“จิตสำนึก” ในทาง “เหยียบคนที่ควรเหยียบ-ยกย่องคนที่ควรยกยกย่อง”
และทำหน้าที่เหนี่ยวรั้ง….
อย่าปล่อยให้ “ตลิ่งสังคมพัง” จากน้ำมือคนโฉดชาติ โดยสื่อแทนที่จะเหยียบมัน กลับตบมือเชียร์ฉาดๆ รอที่มันโกงชาติมาเป็นน้ำข้าวราดหัวให้
นี่เป็นสิทธิและหน้าที่ “ทางวิญญาน” ของคนทำสื่อ ต้องแยกแยะได้ และพึงมี
ไม่ใช่เขาบ้าหวย ก็ลงแต่เรื่องหวยสนองอยาก
เขาชอบเรื่องใต้เตียงดารา ก็มุดเอามาเสนอทั้งวัน-ทั้งคืน เขาชอบเรื่องชาวบ้านตบตี ฆ่าแกงกัน ก็สรรที่ไร้สาระให้เป็นสาระ
เขาชอบนักการเมือง “คอร์รัปชัน” แล้วโยนก้างให้ชาวบ้านแทะ ก็เชิดชูทุกวัน ให้ดูมันเป็น “เทวดามาโปรด”!
มีคนพูดกันว่า “สส.กับหนังสือพิมพ์” เหมือนกันทางด้านเป็นตัวสะท้อน “คุณภาพสังคมประเทศ”
ก็น่าคิดนะ เพราะ “ประชาชนเป็นผู้เลือกสส.”
“สส.-สภาผู้แทนราษฎร” จึงเป็นตัวสะท้อนคุณภาพประชาชนผู้เลือก
แต่ที่ว่า การนำเสนอข่าวสารของหนังสือพิมพ์ สะท้อนคุณภาพประชาชนผู้อ่าน นั้น
ผมว่าไม่ใช่!
เพราะหนังสือพิมพ์ประชาชนไม่ได้เลือกให้เป็นเหมือน สส. แต่มาเป็น-มาทำกันเอง
สื่อ-หนังสือพิมพ์จึงสะท้อนคุณภาพเจ้าของและผู้ควบคุมกลไกการนำเสนอข่าวสารมากกว่า ว่ามีจิตวิญญานทางสิทธิและหน้าที่สื่อขนาดไหน?
“ระบบรัฐสภา” นักคิดสมัยโน้น เขาออกแบบเพื่อใช้ตอบโจทย์อำนาจกลุ่มคนกระหยิบมือหนึ่งให้ “อ้างประชาชน” เพื่อควบคุมในทางปกครอง
ระบบรัฐสภา จึงเป็นระบบส่งเสริม “ปศุสัตว์พันธุ์มนุษย์” ขนาดใหญ่ ที่ต้องเพาะเลี้ยงไว้เพื่อการเลือกตั้ง
จึง “เน้นปริมาณ “เป็นหลัก ไม่เน้นคุณภาพ!
และ “หนังสือพิมพ์” นั้น ก็ไม่ใช่ “สื่อหลัก-สื่อรอง” อะไรอย่างที่เขาเรียกกัน
เป็นเพียงอุปกรณ์เพื่อการสื่อสารถึงสังคมชนประเภทหนึ่งผ่านรูปแบบ “กระดาษ” ที่เรียก “หนังสือพิมพ์” เท่านั้นเอง
การสื่อสารไม่ได้เกิดจากระบบคิดของนักคิดคนไหน
หากแต่มันเป็น “อวัยวะชิ้นที่ ๓๓” ของมนุษย์ นับตั้งแต่โลกใบนี้มี “สัตว์ประเภทมนุษย์” เกิดขึ้นแล้ว!
มีคน ก็มีการสื่อสาร
เราพบภาพเขียนนับพันปีหมื่นปีตามผนังถ้ำ พบศิลาจารึก พบรูปภาพสื่อแทนภาษาตามแผ่นผ้า แผ่นหิน ใบไม้ อีกต่างๆนานา
นั่นคือการถ่ายทอด “องค์ความรู้” และการ “ส่งสัญญาน” ถึงกันระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์ด้วย “ภูมิปัญญา” ซึ่งมีตามธรรมชาติมนุษย์และสัตว์
มนุษย์สื่อสารผ่านอุปกรณ์กระดาษมีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว แต่ในรูปแบบ “หนังสือพิมพ์” ก็เมื่อซัก ๔๐๐-๕๐๐ ปีมานี่เอง
ดังนั้น สื่อประเภทหนังสือพิมพ์จะค่อยๆ หายไป แล้วมีสื่อประเภทอื่นๆ เช่น “ออนไลน์-ไอที” เข้ามาแทน
ผมก็ไม่เห็นมันแปลกตรงไหน!
มันเป็นการวิวัฒน์แต่ละยุคสมัย จากสื่อด้วยกิริยา ไปสู่สลักผนังถ้ำ จารึกลงแแผ่นหิน เขียน-พิมพ์ลงกระดาษ ลงแผ่นฟิล์ม
สู่แถบแม่เหล็กที่เรียก “เทปคาสเซต” สู่แผ่นซีดี สู่ดิจิทัล สู่ออนไลน์ ในระบบอินเทอร์เน็ตเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ต่างๆนานาอย่างที่เป็นเวลานี้
มันก็แค่ “จากสิ่งหนึ่ง-ไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง” ธรรมดาๆ!
ถ้าผมอยู่อีกซัก ๕๐ ปี ก็คงเห็นสื่อ “ออนไลน์-ไอที” ที่ว่าล้ำยุควันนี้ เชย ล้าหลัง ตกยุค ไม่ต่างจากหนังสือพิมพ์วันนี้หรอก
เพราะถึงตอนนั้น….
“มนุษย์โลก” อาจต้องมีการสื่อสาร-ติดต่อกับ “มนุษย์ต่างดาว” ด้วย
เดินทางไปมาหาสู่กัน อาจมีการผสมพันธุ์ เกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว
แล้วเราจะเรียก “สิ่งมีชีวิต” จากการผสมพันธุ์ต่างดาวนี้ว่าอะไรดีล่ะ?
จะประกาศเชิญชวนตั้งชื่อผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านเว็บต่างๆ มันก็คงล้าสมัยไปแล้ว
ตอนนั้น “ไทยโพสต์” อาจหมุนตามโลกไปเป็นสื่อในรูปแบบภาษา “จักรวาลอินเตอร์” ขายไปทั่วทั้งในโลกและนอกโลกก็เป็นได้ ใครจะไปรู้?!
ทั้งหลาย-ทั้งปวง….
มีรูปแบบเดียว ที่ผมปรามาสเลย ว่าจะไม่มีวิทยาการจากสิ่งมีชีวิตโลกไหน สามารถคิดค้นระบบสื่อ…เอาว่าไม่ต้อง “เหนือกว่า” หรอก
เอาแค่ว่า “ตามยุค” พุทธกาล “ทัน” ผมก็กราบแทบเท้าเช้าจรดเย็นแล้ว!
ทั้งมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาว ยังไงๆ ก็ต้องอาศัยแสงและเสียงในระบบคลื่น
แต่ “สมัยพุทธกาล” ด้วย “ศีล-สมาธิ-ปัญญา” ที่ถึงพร้อมใช้ “วิชชา ๘” สื่อสารถึง ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ทั่วทั้งจักรวาล นรก-สวรรค์
ไม่ใช้อุปกรณ์ใดๆ ด้วย “จิตดวงเดียว” เร็วกว่าแสงและเสียงสื่อสารถึงหมด!
ปัจจุบันยุคนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ถึงพร้อมในวิชชา ๘ ก็มีอยู่ ซึ่งท่านก็ใช้ “โทรจิต” แทนเครื่องมือสื่อสารอย่างที่เราใช้
ผมก็คุยเรื่องเก่าไปเรื่อยในวันปีใหม่ จริงๆ แล้ว “เข็มไมล์ชีวิต” ขยับขึ้นอีกปี มันก็แก่เกินแกงเข้าไปทุกที
ซ้ำตกยุค-ตกสมัย ….
ได้เวลาหลีกทางให้คนใหม่ๆ ที่เขาเห็นคุณค่า “สื่อ-หนังสือพิมพ์” เข้ามาทำหน้าที่บ้างแล้ว
ใครสน เร่เข้ามาเอาบ่าแบกล้อได้เลย ผมจะได้ไปเที่ยวดูโลกอันโสภินตามประสาคนแก่โลกที่ไม่เคยเห็นโลกจากเหนือจรดใต้กะเขาบ้าง!
“ปีใหม่” นี้ เที่ยวกันแล้วก็มาสร้างกุศลในทาง” ช่วยคน” กันบ้างก็ดีนะ เป็นทาง “สะสมเสบียงบุญ” อย่างหนึ่ง
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ พอดีตรงกับวันที่วัดทรายขาว สงขลา ประกอบพิธีสมโภช “หลวงพ่อทวด” ที่สร้างเต็มองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว
วันเดียวกันนั้น ที่ “หอประชุมมหิศรภักดี” ศูนย์ราชการจังหวัดภูเก็ต “หลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม” วัดป่าห้วยกุ่ม ชัยภูมิ
และ “คุณประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย” ประธานฝ่ายฆราวาส
จัดทอดผ้าป่า “ฉายแสง” สร้างอาคาร “รังสีรักษา” โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ร่วมกับมูลนิธิน้อมเกล้า และคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
จัดหาทุน ๒๙๐ ล้านบาท สร้าง “อาคารรังสีรักษา” เพื่อใช้ในการฉายแสงรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
บุญสำเร็จแล้วที่ใจ มิใช่จากจำนวนเงินมากหรือน้อย ดังนั้น ถ้าท่านมีกุศลเจตนา
โอนเงินไปที่เลขที่บัญชี ๘๐๕-๓-๑๑๐๑๙-๓ ธนาคารกรุงไทย สาขาภูเก็ต
ชื่อบัญชี “เงินบริจาคเพื่ออาคารรังสีรักษา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต” เงินบริจาค นำไปลดหย่อนภาษีได้ ๒ เท่า
ติดต่อได้ที่เบอรโทร.๐-๗๖๓๖-๑๒๓๔ ต่อ ๐ นะครับ
เอาไว้ใกล้ๆ ผมจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับที่ “หลวงพ่อสายทอง” รับนิมนต์ท่านผู้ว่าฯ ภูเก็ตและผอ.รพ.วชิระภูเก็ตมาเป็นองค์อุปถัมภ์ หาทุนสร้าง “อาคารรังสีวิทยา” อีกที
“หลวงพ่อสายทอง” ท่านมีธรรมบารมีสูง
หลายต่อหลายจังหวัด ไปขอพึ่งบารท่าน เพื่อการสร้างโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ ท่านก็เมตตาสงเคราะห์เสมอ
นี่ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ “หลวงพ่อสายทอง” โปรดสัตว์ผู้ยาก ผมก็เตรียมโอนเหมือนกัน สร้างโรพยาบาล “สงเคราะห์ผู้ป่วย” ช่วยกันเถอะครับ อานิสงส์นี้ ไม่มีสูญ
ความจริง ทั้ง ๓๖๕ วันใน ๑ ปี ถ้า “ใจ” เราดี ก็ “ดี” ทุกวัน
แต่เอาเถอะ ปีใหม่ ๒๕๖๘ นี้
ตั้งสติเป็น “เข็มทิศชีวิต” กันใหม่ให้ดี พรอันใด มิสู้พรจากใจตั้งของตัวเอง
สำหรับผมต่อท่าน… “กุศลกรรม” ที่ผมพอมีบ้าง
“อธิษฐานจิต” ขอส่วนนั้น
“จงมี-จงเป็น” อานิสงส์ถึง “ผู้อ่านไทยโพสต์” ทุกท่าน-ทุกประการ
เปลว สีเงิน
๑ มกราคม ๒๕๖๘