เปลว สีเงิน
วันนี้……
มีเรื่องอุ่นไอสายใยรักและผูกพัน ระหว่าง ๒ ชาติ ”ภูฏาน-ไทย” มาให้อ่าน
เมื่อ ๒๒ ธันวา.๖๘
“สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก” และ “สมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก” แห่งราชอาณาจักรภูฏาน
เสด็จ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
เพื่อทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวาย “ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์”
ศ.(พิเศษ)ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาฯ, ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ
พร้อมด้วย “ผู้บริหารมหาวิทยาลัย” และ “นิสิตภูฏาน” ที่ศึกษาอยู่ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เฝ้าฯ รับเสด็จ
ณ หอประชุมจุฬาฯ…..
“สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี” พระราชทานพระราชดำรัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ภูฏานด้วยภาษาอังกฤษ ด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาน เนื้อหาประทับใจยิ่ง
“ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. กุณฑลี รื่นรมย์” ท่านถ่ายทอดเป็นภาษาไทยไว้ และ “Arnond Sakworawich ”นำมาเผยแพร่
ผมอ่านแล้ว เห็นคุณค่ายิ่งในพระราชดำรัส
อยากให้คนไทยได้อ่านทั่วๆ กัน จึงขออนุญาต “ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. กุณฑลี รื่นรมย์” นำที่ท่านแปลเป็นภาษาไทยเผยแพร่ตรงนี้
…………………………..
“Arnond Sakworawich”
พระราชดำรัสบางส่วนอันไพเราะงดงามจับใจของ “สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน”
ขอจงทรงพระเจริญ
…………………………..
“สมเด็จพระราชินีและข้าพเจ้า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาอยู่ร่วมกับท่านในวันนี้
เพื่อรับปริญญา “ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์” จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกและทรงเกียรติที่สุดของประเทศไทย
นี่คือ เกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ที่ข้าพเจ้าซาบซึ้ง ขอขอบคุณจากใจจริง
ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง….
เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษา ทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่อมาในประเทศอังกฤษ ข้าพเจ้าก็เหมือนนักศึกษาหลายคนที่อยู่ไกลบ้าน และมักจะคิดถึงบ้านอยู่เสมอ
และเมื่อคนภูฏานคิดถึงบ้าน…..
ความรู้สึกนั้น มีรสชาติพิเศษเฉพาะตัว เพราะในเวลานั้น ไม่มีร้านอาหารภูฏานเลย…ไม่มีเลย ไม่ว่าจะในบอสตัน ในลอนดอน หรือที่ใดก็ตาม
ไม่มีอามาติ ไม่มีคาวาติ ไม่มีข้าวสวยที่เหมาะสมกับแกงเผ็ดรสจัด ข้าพเจ้าเดินไปตามถนนด้วยความหิวโหย และโหยหาบ้าน
แต่ก็ไม่พบสิ่งใดตอบแทนความคิดถึงนั้นได้
จนกระทั่งข้าพเจ้าค้นพบอาหารไทย
ความเผ็ด ข้าว ความอบอุ่น มันไม่ใช่อาหารภูฏาน แต่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง มันกลายเป็นอาหารปลอบใจของข้าพเจ้า
ร้านอาหารไทยทุกแห่งที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไป ให้ความรู้สึกเหมือนมีบ้านเล็ก ๆ อยู่ในนั้น
ข้าพเจ้าไม่อาจนับได้เลยว่า แกงเขียวหวานกี่ถ้วยที่ช่วยประคองข้าพเจ้าไว้ในช่วงปีเหล่านั้น
ประเทศไทยได้หล่อเลี้ยงข้าพเจ้าอย่างแท้จริง ในยามที่ข้าพเจ้าอยู่ห่างไกลจากทุกสิ่งที่คุ้นเคย
ในช่วงที่เป็นนักศึกษา…
เราทุกคนถูกขอให้ทำการนำเสนอสั้น ๆเกี่ยวกับประเทศของตนเอง เมื่อเพื่อนร่วมชั้นชาวไทยของข้าพเจ้าลุกขึ้นพูด
เธอได้นำเสนอสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่กับข้าพเจ้ามานานกว่าสองทศวรรษ
เธอกล่าวถึงประเทศไทยในฐานะประเทศพุทธ ไม่ใช่เพียงในนาม แต่ในวิถีชีวิตประจำวัน
เธอพูดถึงวัดวาอารามทั่วประเทศ พระภิกษุที่เดินบิณฑบาตด้วยเท้าเปล่าในยามรุ่งสาง ชายหนุ่มที่สมัครใจสละเวลาส่วนหนึ่งของชีวิตเพื่ออุปสมบทและศึกษาธรรม
และสตรีที่เลือกเส้นทางการเป็นชี
เธอพูดถึงวิธีที่คำสอนของ“พระพุทธเจ้า”หล่อหลอมลักษณะนิสัยของคนไทยให้เป็นคนจริงใจ อ่อนน้อม เอื้อเฟื้อ และเปี่ยมด้วยเมตตา
ข้าพเจ้าพยักหน้าไป พร้อมกับคิดว่า“ใช่…นี่ช่างงดงาม นี่แหละคือ สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกเมื่ออยู่ในประเทศไทย”
แล้วเธอก็กล่าวต่อว่า
“แต่กีฬาประจำชาติของเราคือ มวยไทย คิกบ็อกซิ่ง”
ห้องทั้งห้องเงียบลง เธอยิ้ม และถามว่า“สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?”
แล้วเธอก็ตอบคำถามนั้นด้วยตนเอง
“มันหมายความว่า เราเปี่ยมด้วยเมตตา แต่เราไม่อ่อนแอ
เราเป็นคนรักสันติ แต่เราไม่เฉยชา หากประเทศไทยถูกคุกคาม เราจะต่อสู้
เราจะยืนหยัดร่วมกัน ด้วยความกล้าหาญ เสียสละ และมุ่งมั่น เพื่อปกป้องชาติ และวิถีชีวิตของเรา”
ข้าพเจ้าไม่เคยลืมถ้อยคำเหล่านั้นเลย
ความเมตตาแบบพุทธและจิตวิญญาณนักรบ คือสิ่งที่นิยามประเทศไทย และเป็นการผสมผสาน ที่จะรับใช้ประเทศนี้ไปได้อีกหลายศตวรรษ
ประเทศไทยและภูฏาน มีสายสัมพันธ์ที่หาได้ยาก
เราเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ขณะที่จักรวรรดิต่าง ๆเข้ายึดครองและแบ่งแยกดินแดน
ประเทศไทยยังคงเป็นเอกราช ด้วยพระปรีชาสามารถของ“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ความอัจฉริยะของ“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”และผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ต่อเนื่องกันมา
และที่สำคัญที่สุด ด้วยความเข้มแข็งอดทนของประชาชนชาวไทย จิตวิญญาณแห่งเอกราช หยั่งรากลึกในแผ่นดินนี้
ประเทศไทยตั้งอยู่ ณ ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นทางแยกโดยธรรมชาติของการค้าและวัฒนธรรม
ประเทศนี้ได้รับพรด้วยความหลากหลาย
ทั้งภูเขาและชายหาด เมืองและหมู่บ้าน อุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
ประชาชนมีการศึกษา ปรับตัวได้ และผูกพันกันด้วยศรัทธาอันศักดิ์สิทธิ์
และ“สถาบันพระมหากษัตริย์”อันเป็นที่รัก
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชมมากที่สุดคือ“ความรู้จักประมาณของประเทศไทย”
ปัญญาที่รู้ว่า“เมื่อใดควรอ่อนและเมื่อใดควรยืนหยัดอย่างมั่นคง”
ความเป็นจริงเชิงปฏิบัตินี้ สัญชาตญาณแห่งความสมดุลนี้ คือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยมั่นคง
ขณะที่ประเทศอื่น ๆสะดุดล้ม และมันจะนำพาประเทศไทย
ก้าวไกลสู่อนาคต
ท้ายที่สุดนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้อยู่ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณมหาวิทยาลัย สำหรับเกียรติอันล้ำค่านี้
แต่เหตุผลที่ช่วงเวลานี้พิเศษมากสำหรับข้าพเจ้า และสมเด็จพระราชีนีของข้าพเจ้าย่อมรู้ดีกว่าใคร ว่า…..
“ข้าพเจ้าไม่เคยได้รับเวทีที่เหมาะสมหรือโอกาสที่เหมาะสม ในการแสดงความขอบคุณต่อ“พระมหากษัตริย์-พระราชินี
และประชาชนชาวไทย
ดังนั้น อีกครั้งหนึ่ง จากก้นบึ้งของหัวใจ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนที่ท่านมอบให้ เราจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อตอบแทน”
…………………..
เมื่อถึงตรงนี้ Guntalee Ruenrom“ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. กุณฑลี รื่นรมย์”เขียนไว้ว่า….
“ยังแปลไม่หมดค่ะ การแปลหายไปครึ่งหนึ่งเลย ขอสรุปส่วนที่หายไปดังนี้”
พระองค์ได้พูดถึงบุคคล ๒ คนที่เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตของพระองค์ นั่นคือ“สมเด็จพระราชบิดา”
ที่ทรงวางรากฐานการบริหารและการปกครองแบบใหม่ของประเทศภูฏาน ที่ทุกคนรวมทั้งพระองค์ต้องเรียนรู้
ทรงเป็นแบบอย่างในทุกด้าน
ที่สอนให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ดี
อีกท่านที่ทรงกล่าวยกย่องชื่นชมคือ“ในหลวงรัชกาลที่ ๙”ที่พระองค์ได้ทรงติดตามเรียนรู้การทำงานของพระองค์ในโครงการต่างๆ มากมายในชนบทที่ห่างไกล
ทรงกล่าวว่า“ในหลวงรัชกาลที่ ๙”ทรงสอนจากการกระทำทุกอย่างให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งพระองค์ให้ความเคารพยกย่องอย่างยิ่ง
อีกพระองค์หนึ่ง ที่ท่านพูดถึงด้วยความรักและเชื่อมั่นคือ“ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐”ที่เสด็จไปเยือนภูฎานอย่างเป็นทางการ
ทรงชื่นชมในพระปรีชาสามารถและการทำงานของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน
นอกจากนั้น ท่านกล่าวชื่นชมคนไทย….
ท่านเล่าว่า ท่านรู้สึกถึงความรักที่คนไทยมีต่อท่าน เมื่อคราวที่ท่านเสด็จมาร่วมงาน“เฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ ๖๐ ปี”ของรัชกาลที่ ๙
ตอนนั้น ท่านเป็น“มกุฎราชกุมาร”ท่านรู้สึกได้ถึงความรักความอบอุ่นของชาวไทยที่มีให้ท่านในทุกหนแห่งที่ท่านเสด็จไป
โดยคนไทยเรียกท่านว่า“เจ้าชายจิ๊กมี่”
ท่านกล่าวว่า ท่านชื่นชมประเทศไทยอย่างลึกซึ้งและถ้าท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศไทยได้ ท่านจะทรงมีความยินดีอย่างที่สุด
–//-//—//-
จากความทรงจำในหอประชุมที่ทุกคนเงียบกริบฟังพระราชดำรัส และเมื่อทรงพูดจบ เสียงปรบมือดังกึกก้องยาวนานมากค่ะ
Royal Address by His Majesty the King of Bhutan at Chulalongkorn University, Thailand, on the Occasion of the Conferral of an Honorary Doctorate | 22 December 2025
Please visit
Source: Chulalongkorn University Facebook
………………………………………..
ครับ….
พระราชดำรัส“สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี”ครั้งนี้ ต้องบอกว่า สายพระเนตรพระองค์ท่าน คม ลึก
มองคนไทยและประเทศไทย“ทะลุถึงแก่น”!
ประโยคที่ว่า….
“ความเมตตาแบบพุทธและจิตวิญญาณนักรบ คือสิ่งที่นิยามประเทศไทย และเป็นการผสมผสาน ที่จะรับใช้ประเทศนี้ไปได้อีกหลายศตวรรษ”
และที่ว่า….
“แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชมมากที่สุดคือ“ความรู้จักประมาณของประเทศไทย”
ปัญญาที่รู้ว่า“เมื่อใดควรอ่อนและเมื่อใดควรยืนหยัดอย่างมั่นคง”
ความเป็นจริงเชิงปฏิบัตินี้ สัญชาตญาณแห่งความสมดุลนี้ คือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยมั่นคง
ขณะที่ประเทศอื่นๆสะดุดล้ม และมันจะนำพาประเทศไทยก้าวไกลสู่อนาคต”
นี่แหละ จะหาภาพสะท้อนไทยและคนไทยที่“คมและตรงชัด” กว่านี้ ไม่มีแล้ว!
ยิ่งมองผ่านเหตุการณ์ไทย-เขมรตอนนี้ด้วยแล้ว ประหนึ่ง “สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี”ทรงกระเทาะเปลือกไทยจนถึงแก่น!
วันนี้ ๒๔ ธันวา.ไทย-เขมร นัดประชุม GBC กันที่จันทบุรี
แต่จะได้คุยกันหรือไม่ ก็ไม่แน่ใจ
เพราะฝ่ายเขมรงอแง เกี่ยงจะให้ไปประชุมที่มาเลย์
ไทยบอก“ต้องที่จันทบุรี คุยกัน ๒ ประเทศนี่แหละ ไม่ต้องให้มีประเทศที่ ๓ มาเกี่ยว”
ก็ต้อง“ปิดแอร์วัดใจ”กันละทีนี้!
แต่ผมว่า คุยไปก็“ไลฟ์บอย”เมื่อวาน เขมรยังถล่มใส่บ้านเรือนคนไทยพังพินาศ ตามสไตล์“สันติภาพฮุนเซน”
และเราก็ต้องสูญเสียนักรบกล้าไปอีก ๑ นาย จากระสุนสันติภาพฮุนเซน ที่ยิงเข้ามาที่“บ้านหนองจาน”สระแก้ว
“พลทหาร ธนพัฒน์ นันทะวงศ์” สังกัด กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์
เป็นนักรบรายที่ ๒๓ ของไทย ที่พลีชีพ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระราชดำรัสของ“สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี”ที่ว่า
ปัญญาที่รู้….
“เมื่อใดควรอ่อนและเมื่อใดควรยืนหยัดอย่างมั่นคง”
นั้นคือคำตอบจากไทย ในคำถามที่ว่า….
“แล้วไทยจะจัดการอย่างไรต่อไปกับเขมร”?
-เปลว สีเงิน
๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๘
