เปลว สีเงิน
ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
ขณะนี้ ประเทศไทยมี ๓ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหยียบเมือง สยบทุกระบบอำนาจสังคมอยู่ใต้อุ้งบาท
ผู้คนพลเมืองไทยสาสมใจยิ่งนัก เพราะได้มันมากะมือ
ศักดิ์สิทธิ์แรก ที่ได้ นักโทษเทวดา
ศักดิ์สิทธิ์ที่สอง เนติบริการผู้เลิศในธรณี และ
ศักดิ์สิทธิ์ที่สาม นายกฯ ชื่อเศรษฐา
ทุกวันนี้ คนไทยจึงได้เป็นเศรษฐี สะใจกันทั่วทุกหย่อมหญ้านี่ไงล่ะ!
ผมอยู่นอกวงรัศมีบารมี ๓ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เพราะตกช่วงต้องไปนอนแอบพญาราหู ที่ถือวิสาสะเข้ามาในบ้าน
แล้วพอดี “เสาร์” เกลอรักเขาตามมา ถีบประตูบ้านผมเปรี้ยง ส่ายอาดๆ เข้าไปหาเกลอเขา
ผม..แก่ สปอร์ต กทม.ก็จริง ถึงรูปหล่อ แต่พ่อไม่เคยโกงบ้านโกงเมืองไว้ให้ เลยไม่รวยโคตรโคตร
เจ้าสองนักเลงมันเลยช่วยกันรุมสกรัมผมซะหมอบคาตีน ทางเดียวที่จะรอด ต้องแกล้งทำเป็น “สลบ-หลบตีน” มัน
แล้วลากสังขารมาให้พยาบาลเขาช่วยซับเลือดและน้ำตาอยู่โรงพยาบาลนี่แหละ ก็หลายเพลาแล้วนะออเจ้า
วันๆ ไม่รู้เจาะต่อกี่จึ๊ก ทำเอาสะอึกสะอื้นเฮือกในอก
ผมน่ะ ตอนไปทำข่าว “สุรพล สมบัติเจริญ” ถูกยิงตาย วัดหนองปลาไหล ริมถนนมาลัยแมน นครปฐม ทางไปกำแพงแสน ทะลุสุพรรณบุรี
ถูกปืนจ่อทั้งหัว ทั้งอก ไปทำข่าวกรุงพนมเปญแตกที่เขมร ทหารมันฟาดด้วยพานท้ายปืนใส่กลางหลัง กลัว…จนลืมเสียว
แต่กับเข็ม แค่รู้ว่าถูกจิ้มแน่ ยังไม่ทันจ่อ ใจมันก็จะขาดรอนๆ ไปซะก่อนแล้ว!
โบราณเขาว่า เกลียดสิ่งไหน มักได้สิ่งนั้น กลัวอะไร มักเจอแบบนั้น จริงเปล่าไม่รู้นะ
แต่ผมกลัวเข็ม กลับต้องเจอกะมัน ปีละเฉียดร้อยเข็มเจาะเจ็บสาหัส-สากรรจ์ทุกที แต่กลัวจน ดันตะบี้-ตะบันจนมันทั้งชาติซีน่า
ชีวิต ใครว่ามันไม่น่าประชด บอกทีซิ?
ทุกวันนี้ จึง (ทำเป็น) ไม่กลัวตาย จะได้ไม่ตาย เป็นอมตะเหนือนักโทษเทวดามันไง!
นอนดูข่าวเนติบริกรออกมาแผ่อิทธิฤทธิ์เป่ากระหม่อมชาวบ้านเรื่อง ๒ บิ๊กผู้บิดเบี้ยวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติวันก่อนแล้ว
กะจะสลบ-หลบตีนชาวบ้านเขาเงียบๆ ซักพัก
แต่ดูและฟังลีลาทั้งวาจาเนติบริกรแถลงแล้ว คันตัวทนไม่ไหว ต้องเสียตังค์ไปถอยแล็บท็อปมานั่งจิ้มเอามันบนเตียงนี่แหละ
บุญคุณอะไรกันนักหนา ใกล้สภาพตะเกียงสิ้นไส้ขนาดนั้นแล้ว ยังทดแทนกันไม่หมด-ไม่สิ้นซักทีหรือ
ถนอมรักษาอะไรดีๆ ในรอบ ๑๐ ปีไว้ให้ระลึกถึงกันบ้างไม่ได้เชียวหรือ เห็นแเล้วเศร้าและอนาถนัก?
แผ่นดินนี้ ผมได้เแค่อาศัยเกิดและคำว่าคนไทยเท่ากับทุกคน และนอกจาก ๘๐๐ บาทเบี้ยคนชรา ก็ไม่เคยได้อะไรฟรีจากระบบ
แต่แค่นี้ ผมถือเป็นบุญคุณและเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต ที่แผ่นดินนี้ และบรรพบุรุษ มีให้กับผมยิ่งนักแล้ว
ชนิดที่ เอาชีวิตไป ก็ยังมีค่าไม่พอในการใช้ตอบแทน!
แต่ในรอบปีนี้ ผมเศร้าและหดหู จนอดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ว่า
ถ้าจะมี-จะเป็นแบบนี้
จะต้องให้ผมเกิดมาในแผ่นดินทำไม?
เพราะผมทนกับคำว่า “บิ๊กดีล” ที่ดังกลบกระบวนการยุติธรรมสังคม, กลบคุณค่าความเป็นคนไทยที่ผมภาคภูมิใจมาทั้งชีวิตไม่ได้จริงๆ
บิ๊กดีล แปลว่า ใหญ่ส้นตีน หรือแปลว่าอะไร สามัญชนต่ำศักดิ์เช่นผม ไม่ทราบ เพราะไม่อยากสน
แต่มันปวดใจนัก!
ปฎิกริยาสังคมชน ผ่านระบบสภา ระบบรัฐบาล ระบบกฎหมายบ้านเมือง มันบ่งบอกยอมรับ ว่าทุกกลไกระบบขณะนี้ รวมศูนย์ “บิ๊กดีล”!
“ชาติ-ศาสนา-สถาบันพระมหากษัตริย์” เหมือนไม่ต้องมีด้วยศรัทธา หากแต่มีเพราะถูกบีบคั้น เหมือนแรงงานเขมร-พม่า ร้องเพลงชาติไทยหลอกให้ตำรวจฟังตอนเขาตรวจจับ
บ้านเมืองไทย พศ.นี้…
นับตั้งแต่เทวดาห่าเมือง กลับเข้าเหยียบแผ่นดิน ทุกสังคมก็ประโคม…บิ๊กดีล…บิ๊กดีล
ป่วยทิพย์ เหาะจากคุกสถิตวิมานชั้น ๑๔ ก็..บิ๊กดีล
เป็นนักโทษ ได้รับพักโทษ โดยไม่เคยรับโทษจริง ก็…บิ๊กดีล
แหกกฎ-แหกกติกาคุมประพฤติ หมาซักตัวก็ไม่เห่า ปล่อยออกกร่างกราดตรวจเมือง ก็..บิ๊กดีล
ประกาศศักดา เหนือพรรค-เหนือรัฐบาล-เหนือสภา กระทั่งข้าราชการล้วนสยบ ก็เพราะ….บิ๊กดีล
คดี ๑๑๒ ตกเป็นจำเลยสู่ศาล ทั้งมีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งต่อหน้าสารภาพ-ลับหลังโพนทนาว่าถูกยัดข้อหา แต่ไม่มีการคัดค้านการประกันตัว ทั้งสามโลกก็เชื่อ…บิ๊กดีล
เนติบริกร เป็นองค์ลงให้นายกฯ เศรษฐาแถลงผลตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายความขัดแย้ง ๒ บิ๊กในสตช.วันก่อน
ถ้าบอกเป็นผลสอบโรคห่าระบาดจะเชื่อ ใช้เวลาสอบ ๓-๔ เดือน ผลที่ออก ไส้เดือนขาด้วนยังจะกระดื๊บได้คืบ-ได้เกียกกว่า
เนติบรกรอู้อี้เหมือนผีบิดไส้…บิ๊กต่อ กลับสตช.ได้ ส่วนบิ๊กโจ๊ก รอก่อน
ทั้ง ๒ ส่วน ตวักตะบวยคือผลสอบ!?
คงเห็นว่ามนต์ไม่ขลัง จึงยกความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่รัฐบาลส่งแค่ ๒ ประเด็นไปหารือ มาร่ายเป็นมนต์กำกับ
แต่มนต์นั้น กลับแสดงความล้นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ชุดที่เนิติบริกรเป็นประธานเองออกมาให้เห็น
มนต์ขลัง เป็นมนต์เสื่อม “เข้าตัวเอง” สิ้นผู้-เสียคน!
เขาส่งแค่ ๒ ประเด็นไปหารือ
ตามกฎกติกา-มรรยาท รัฐบาลถามมาแค่ไหน ก็ตอบไปแค่นั้น
นั่นคืองานตามหน้าที่ “ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล”
แต่เรื่องนี้ กลับเหาะข้ามลงกาหน้าตาเฉย ทำยังกะเป็นตุลาการซะเอง
รัฐบาล เขาหารือไปในประเด็นแรกว่า….
การสั่งให้นายตำรวจระดับรองผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อน ต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้ข้าราชการตำรวจผู้นั้น พ้นจากตำแหน่งหรือไม่?
ประเด็นที่สอง จะต้องดำเนินการเมื่อใด?
แต่ก็ตอบตรงประเด็นหารือทั้ง ๒ นะ คือตอบว่า ต้องนำความกราบบังคมทูลฯ
ส่วนเมื่อใดนั้น ตามพรบ.ตำรวจแห่งชาติ ๒๕๖๕ ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่จะต้องดำเนินการในกรณีนี้ไว้
เป็นดุลยพินิจของนายกฯ ที่จะดำเนินการด้วยความรอบคอบภายในระยะเวลาอันเหมาะสมตามควรแก่กรณี
เขาถามแค่นี้ ตอบแค่นี้ คะแนนเต็มสิบแล้ว
แต่นี่ไม่งั้น กฤษฎีกาชุดเนติบริกรประธาน กลับตั้งข้อสังเกตแนบท้ายคำตอบ แบบชีเป้า ว่า วันเดียว ๓ คำสั่ง ส่อพิรุธ ไม่ชอบด้วยกฎหมายประมาณนั้น
แล้วยกมาตรา ๑๒๐ วรรคสี่ ไปยำผสมมาตรา ๑๓๑ ของพรบ.ตำรวจ ๖๕
บอกเป็นมติเอกฉันท์คณะกรรมการกฤษฎีกา ๑๐-๐ การให้ออกจากราชการไว้ก่อนกระทบสิทธิและหน้าที่.ฯลฯ..ฯลฯ…
“กฤษฎีกาจึงเห็นว่าไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม สมควรจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง โดยเป็นอำนาจสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการ”
อ้าว…ขึ้นต้นเป็นเจ้าอาวาส แต่ลงท้ายเหมือนตาลายกัณฑ์เทศน์ เจ้าภาพไม่ได้นิมนต์ แต่พระคุณเจ้าเจื้อยแจ้ว
ออกอาการรุ่มร่าม-พันลำ เที่ยวตอบในเรื่องที่เขาไม่ได้ถาม เป็นพระก็อาบัติ-ศีลขาด ญาติโยมไม่อาราธนา พระจะสวดไม่ได้
ถ้าเป็นชาวบ้าน แบบนี้เขาเรียก “เสือ ใส่เกือก”!
อีกหนึ่งบิ๊ก “กากีเทา” ได้ที
รีบทึกทักข้อสังเกตกฤษฎีกาว่าที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นไม่ถูกต้อง ประกาศฟ้องรายหัว
กลับเป็นใหญ่วันไหนละก็ เอาคืนทั้งสตช.ขนาดนั้น
“บิ๊กต่อ” ที่กลับไปทำหน้าที่ผบ.ตร.ตอนนี้
ต้องเปลี่ยนคำสั่งที่ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร.สั่งไว้เดิมทิ้งไป
เขาจะต้องได้กลับไปนั่งเก้าอี้ รองผบ.ตร.อาวุโสสูงสุุด ทันได้เข้าชิงผบ.ตร.ปีนี้
พวกจอกแหนลอยน้ำ ก็ประโคมว่า ต้องเป็นตามนี้ เซ็นแล้วบิ๊๋กต่อ ก็จะลาออก เพราะที่กลับได้ ก็ด้วยบิ๊กดีลแบบนี้
ไม่งั้น…เทพโจ๊ก จะฟ้องตั้งแต่นายกฯ เศรษฐา ในฐานะประธาน ก.ตร.เรื่อยลงไปเลย!
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ทั้งวงการตำรวจและชาวบ้านตั้งฉายาให้ว่า “มิสเตอร์คลีน” ยังถูกหมายหัวเบอร์ต้นๆ
ฐานให้ความเห็นทางกฎหมาย “สวนทาง” คณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ถูกต้องตามพรบ.ตำรวจ มาตรา ๑๓๑ วรรคแรกแล้ว
ทั้งอนุกรรมการสอบวินัย ชุดที่ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นประธาน ก็มีผลออกมาว่าชอบแล้ว
จะเสนอความเห็นนั้นต่อที่ประชุมคณะกรรมการก.ตร.ชุดใหญ่พิจารณาในวันที่่ ๒๖ มิถุนา.คือวันนี้แหละ
ส่วนคณะกรรมการ ก.ตร.ชุดใหญ่ที่นายกฯ เป็นประธาน จะเห็นชอบตามนั้น หรือมีความเห็นเป็นอื่น ก็แล้วแต่
คือ ก.ตร.ชุดใหญ่ เอาอย่างไร ก็เป็นไปตามนั้น ฉะนั้น วันนี้ เดี๋ยวก็รู้แล้ว
ว่าก.ตร.ยืนยัน คำสั่งพล.ต.อ.กิตติ์รัช ที่ให้ออกราชการไว้ก่อนนั้น ชอบแล้ว ตามมาตรา ๑๓๑ พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พศ.๒๕๖๕
หรือก.ตร.เห็นว่าไม่ชอบ ให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์เปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นใหม่ ตามข้อสังเกตและที่เนติบริกรออกมาแถลงขยี้จุดให้
บอกวันเดียวออก ๓ คำสั่ง …..
ให้บิ๊กโจ๊กกลับสตช. ตามด้วยคำสั่ง “ตั้งกรรมการสอบวินัย” และคำสั่ง “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” นั้น ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม
ก็เหมือน คนเดียว เป็นประธานคณะกรรมการกฤษฏีกาตั้งข้อสังเกต “ล้นเกิน” ให้รัฐบาล วันต่อมา ก็ไปเป็นที่ปรึกษาให้นายกฯ เจ้าของ ๒ ประเด็นที่หารือกฤษฎีกา
และวันต่อมา คนคนเดียวกันนั้น ….
ก็มานั่งเป็นองค์ประทับทรงนายกฯ แถลงผลสอบ “ซื้อเวลา-แหกตาชาวบ้าน”
แถลงตั้งข้อสังเกต ประเภทเสือใส่เกือก สร้างความสับสนวุ่นวาย ไประดับ โก โซ บิ๊ก
ถ้า ว่าการที่ผู้รักษาการผบ.ตร.มีคำสั่งตามลำดับในวันเดียว ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ฉันใด
การที่คนเดียว ทำทั้งหน้าที่ประธานกฤษฎีกา คณะ ๒ ชงข้อสังเกตล้นเกินให้นายกฯ เอง แล้วมาทำหน้าที่ปรึกษาให้นายกฯ
จากนั้น ก็ทำหน้าที่ร่างทรงนายกฯ แถลงผลสอบข้อเท็จจริง โดยยกเอาข้อสังเกตที่คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดตัวเองเป็นประธานตั้งขึ้นมาแถลงเป็นตุเป็นตะยังกะเป็นตุลาการ
นั่นก็ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ฉันนั้น!
ผมขอเสือกในเรื่องนี้ซักนิด ที่รวบความบอกว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัช วันเดียวออก ๓ คำสั่ง พูดแค่นั้น ใครฟังก็เห็นด้วยว่าไม่ชอบธรรมจริงๆ
แต่ถ้าบอกเหตุผล ทุกคนอาจพอเข้าใจ เพราะก่อนมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตอนนั้น บิ๊กโจ๊กยังไม่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน
หลบหมายเรียกครั้งแล้ว-ครั้งเล่า มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยง จนศาลอาญาออกหมายจับ
บิ๊กโจ๊กจึงไปมอบตัวกับตำรวจสน.เตาปูน ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ด้วยความผิดฐานฟอกเงิน เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกันตามพรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในคดีเว็บพนันออนสไลน์ BNK MASTER
นี่แหละ จึงเข้าข่ายพรบ.ตำรวจแห่งชาติ พศ.๒๕๖๕ มาตรา ๑๓๑ ที่ว่า….
ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ผู้มีอำนาจตามมาตรา ๑๐๕ หรือผู้บังคับบัญชาอื่นตามที่กำหนดในระเบียบก.ตร. มีอำนาจสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัยได้ ฯลฯ…..
เมื่อบิ๊กโจ๊กตกเป็นผู้ต้องหาถึงระดับฟอกเงิน ร้ายแรงมั้ย ผู้มีอำนาจหรือผู้บังคับบัญชาก็ต้องปฎิบัติหน้าที่ เรียกตัวบิ๊กโจ๊ก จากทำเนียบ กลับสตช.
กลับทำไม ก็เพื่อให้เข้าขั้นตอนปฎิบัติตามพรบ.ตำรวจแห่งชาติ คือตั้งกรรมการสอบวินัย ตั้งเสร็จ ก็ทำตามขั้นตอนมาตรา ๑๓๑ ต่อไป คือ
สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ซึ่งมาตรา ๑๓๑ บอกให้ทำได้
โดยสิทธิและตำแหน่งอันผู้นั้นพึงได้ยังอยู่ครบทุกประการ เพียงแต่ให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น
เรื่องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งนั้น เป็นบัญญัติอีกมาตราหนึ่งต่างหาก คือในมาตรา ๑๔๐
นั่น จะเชื่อมโยงเข้ากับคดีบิ๊กโจ๊กก็ใช่ แต่ไม่ได้กำหนดเวลาต้องนำความกราบบังคมทูลว่าต้องภายในกำหนดระยะเวลาไหน
คือให้อยู่ในการพิจารณาตามความเหมาะสมซึ่งตามพรบ.ตำรวจนี้ แต่ละมาตรา จะระบุมาตราที่ต้องปฎิบัติในเรื่องนั้นๆ ตามขั้นตอนนั้นๆ กำกับไว้
เรียกว่าแต่ละมาตรา เป็นข้อบ่งให้ปฎิบัติชัดเจนด้วยอำนาจตามมาตรานั้นๆในตัวมันเองโดยตรง จะเชื่อมโยงถึงมาตราอื่น ก็จะระบุมาตรานั้นๆ ไว้ให้เลย
แต่เห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งข้อสังเกตที่ล้นเกินไปยกวรรคสี่ มาตรา ๑๒๐ มาชูเป็นความถูกต้อง ชอบธรรม โดยไม่พูดถึงวรรคสามเลย
วรรคสี่ก็บอกถึงองค์รวมทั่วไปด้านว่า ระหว่างสอบสวน จะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างทำให้กระทบสิทธิเขาไม่ได้
เว้นแต่ผู้นั้นถูกสั่งพักราชการหรือถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวน
เนี่ย เนติบริกร ทำตัวเป็นผู้ชี้ที่เกิดเหตุ ทึกทักเอาความวรรคนี้ไปสรุปเลย ว่าคณะกรรมการสอบสวนเพิ่งตั้ง ยังไม่ทันสอบสวน ก็สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แบบนี้ไม่ถุูกต้อง!
แล้วทำไมไม่อ่านวรรคสามบ้างล่ะ ที่บอกว่า….
“ในกรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฎชัดแจ้งตามที่กำนดในกฎ ก.ตร.จะดำเนินการทางวินัย โดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้”
ถึงตั้งแล้ว แม้กรรมการสอบยังไม่มีข้อเสนอแนะ ก็สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนก็ได้ ระหว่างรอผลการสอบ ถ้าผู้นั้น ผิดวินัยร้ายแรง หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา ตามวรรคแรก มาตรา ๑๓๑
ไหนๆ จะตั้งข้อสังเกตทั้งที ทำไมไม่นำความตรงนี้ไปตั้งเป็นข้อสังเกตด้วยล่ะ?
คดีตู้ห่าว บิ๊กโจ๊กก็ทำด้วยมิใช่หรือ จำหลานสาวอดีต ผบ.ตร.อดีตรัฐมนตรีเพื่อไทย ได้ใช่มั้ย?
พ.ต.อ.หญิง วันทนารีย์ “เมียตู้ห่าว” นั่นน่ะ ถูกคดีฟอกเงินเหมือนกัน รวมกับตำรวจอีก ๖ คน ส่งสำนวนคดีไปปปช.แล้วเหมือนกัน
ผบ.ตร.ดำรงศักดิ์ ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง แล้วก็สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเหมือนกัน แต่ไม่เห็นบิ๊กโจ๊กยกพรบ.ตำรวจในประเด็นนี้ไปร้องให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้างเลย!?
เอาละ กล้องในห้องมันส่ายมาจับจ้องผมหลายชั่วโมงแล้วว่า ป่วยจะตายยังไม่รู้จักหลับจักนอน เลิกคุยดีกว่า
เดี๋ยวก็รู้ ว่ามติ ก.ตร.ที่จะออกมา เป็นบิ๊กแบ็ก หรือเป็นบิ๊กดีล!
ที่คุยมาทั้งหมด ไม่ประสงค์ด้านหน้าแหกหรือหน้านวล เพียงทนภาพและเรื่องราวขัดหู-บาดตาจากบทบาท “ตำรวจพระเอกสีเทา” ที่มีแต่คนหัวหด ด้วยกลัวถูกเอาคืนไม่ไหวเท่านั้น
และอ้อ…ผมไม่รู้จัก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร
แต่คุณคือ “ผลึก” ที่เป็น “เพชร” ในสายตาผม
สมเป็น “สุภาพบุรุษสีกากี” แห่งยุค ตำรวจพิทักษ์โจร
คนกล้าไม่ต้องกร้าวก็แกร่งได้ คุณคู่ควรกับตำแหน่งผบ.ตร.คนต่อไปนะ!
เปลว สีเงิน
๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๗