เปลว สีเงิน
อันที่จริง อะไรที่เป็น ๒ ถือว่าปกติ
อย่างโลก ก็มี ขั้วเหนือ-ขั้วใต้, มีกลางวัน-มีกลางคืน
มนุษย์-สัตว์ มี เพศผู้-เพศเมีย
สังคม ก็มี “ประชาธิปไตย-เผด็จการ”
การเมือง ก็มีฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน การบ้านก็มี ฝ่ายข้าราชการ-ฝ่ายพลเรือน
ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ก็ยังมี ๒ อีกเหมืนกัน คือ รู้ดี-รู้ชั่ว, รู้ผิด-รู้ถูก, โง่-ฉลาด, สุจริต-ทุจริต
กระทั่งตาย คติมนุษย์ ก็ยังมี ๒ คือ นรก-สวรรค์
มองมุมนี้แล้ว จะสบายใจ เพราะนี่แหละคือ “โลกและมนุษย์”
ปัจจุบัน มีคนพิการนิ้ว ๓ นิ้ว “ล้มสถาบัน” ก็มีคนสมบูรณ์ ๕ นิ้ว “พิทักษ์รักษาสถาบัน”
ก็จะเห็นว่า สังคมโลก-สังคมมนุษย์ ลีลาอย่างนี้เหมือนกันหมดทุกที่-ทุกประเทศ
เอาเฉพาะบ้านเมืองไทยเรา อย่าพูดถึง ๒๔๗๕ เลย นั่นแค่วานซืน ไล่กันมาตั้งแต่ “อาณาจักรน่านเจ้า” ถึงกรุงธนบุรีเลยก็ได้
มนุษย์พันธุ์ “ปฏิกริยาสังคม” ไม่เคยสูญพันธุ์!
กระทั่งยุครัตนโกสินทร์ พวกคิดลิ้มเจ้า, คิดเปลี่ยนระบบปกครอง ก็มีสืบสายพันธุ์มาเรื่อยๆ จนถึง ๒๔๗๕
และจาก ๒๔๗๕ จนถึง ๒๕๖๔ วันนี้ และเรื่อยตลอดอนาคตกาล
ใครก็อย่าไปคิดหวังด้าน “สังคมขั้วเดียว” ถ้าพูดภาษาธรรม ในเรื่องคิดมนุษย์-คิดเดรัจฉาน มันก็ “ตถตา” คือเป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ
ที่พวก ๓ นิ้วจำชื่อนักอุดมคติก่อนยุค ๒๕๐๐ มาท่องบ่อยๆ เช่น จิตร ภูมิศักดิ์, กุหลาบ สายประดิษฐ์, เสนีย์ เสาวพงศ์, อิศรา อมันตกุล, นายผี และฯลฯ
ท่านเหล่านั้น เขียน “วรรณกรรมเพื่อชีวิต” ไว้หลายเล่ม พวก ๓ นิ้ว รวมทั้งศาสดา ๓ นิ้วอย่างปิยบุตร ยังเคย “ปล้นวรรณกรรม” บางวรรคของบางท่าน มาเป็นคำปลุกระดมเท่ๆ ของตัวเองบ่อยๆ
อีกท่าน “ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์”
เขียนเรื่อง “โศกนาฏกรรมของสัตว์เมือง” ช่วงปลายยุค ๙๙ ต่อยุค ๒๕๐๐
เนื้อหาก็แนว “ชนชั้นทางสังคม” ร่วมสมัยรุ่นใหม่ตามรั้วมหา’ลัยยุคนั้น และกรรมกรผู้ใช้แรงงาน ที่ประดิษฐ์คำเรียกว่า “ชนชั้นกรรมาชีพ” เชิดเป็นตัวเอกในสังคมปั้นคำปลดแอก
ตอนนั้น สตาลินต่อด้วยครุชชอฟ เป็นผู้นำโลกค่ายคอมมูนิสต์ กับท่านประธานเหมา ที่นำพรรคคอมมูนิสต์ยึดครองประเทศจีนสำเร็จ
เรียกว่า ทั้ง ๒ ท่าน เป็นพระเอกในอุดมคติของพวก “หัวเอียงซ้าย” ยุคนั้น
มันก็เป็นธรรมดา จะเรียกว่าเป็น “แฟชั่น” ของคนสังคมอุดมคติ คือคนรุ่นใหม่ยุคนั้น ก็ไม่ผิด ใครอยากเท่ ต้องพูดเรื่อง “ชนชั้น”
ช่วงนั้น สหรัฐฯซึ่งเป็นผู้นำโลกประชาธิปไตย นายพลไอเซนฮาวร์ เป็นประธานาธิบดี
เพื่อสกัดคอมมิวนิสต์รุกคืบเข้ามาเล่นโดมิโนย่านอินโดจีน ก็เข้ามาตั้งสำนักข่าวยูซิสในไทย
ทำหนังข่าว หนังสารคดี และโฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบ ทั้งใต้ดิน-บนดิน ให้คนไทย เกลียด-กลัว คอมมิวนิสต์
สรุปลงว่า….
ถ้าไทยเป็นเด็กดีอยู่ในคาถาสหรัฐอเมริกา จะปลอดภัย
อยู่กิน/หลับนอน กันให้สบาย ข้า..สหรัฐอเมริกา จะเป็นลูกพี่ใหญ่ เตะคอมมิวนิสต์มันให้กระเด็นไปเลย ประมาณนั้น
ยุคนั้น เขาเรียกข่าวสารโปรปะกันดา
ถ้าเป็นยุคนี้ ก็ต้องเรียกว่า “เฟกนิวส์”!
ผมเด็กๆ เห็นทางการเอาโปสเตอร์มาติดตามโรงเรียน ตามวัด ยิ่งฟังละครวิทยุ คอมมิวนิสต์มันมาแล้ว..มาถึงที่นั่น-ที่นี่แล้ว แย่งกันคลุมโปง กลัวขี้แตก
เพราะภาพที่เขาเขียน คอมมิวนิสต์มันบุกเข้ามา เผาวัด ถือแส้ไล่ตีพระบ้าง เอาพระไปไถนาบ้าง เอาเคียวตวัดเกี่ยวคอชาวบ้านขาดกระเด็นบ้าง โหดยิ่งกว่าบุญเพ็งหีบเหล็กซะอีก
ย้อนดูพฤติกรรม ๓ นิ้ว ก็หมดสงสัยที่ว่า คนรุ่นใหม่ เป็นถึงนักเรียน-นักศึกษา
แต่ทำไมพฤติกรรมจึง โหด-เลว-หยาบ-ถ่อย-ลามกจกเปรต ปลิ้นปล้อน และแสนทราม ได้ถึงปานนั้น
ก็มันเป็นแพทเทิร์นของอเมริกาเขา ใช้กับทุกแห่งที่เขาเข้าไปล้างสมองคนประเทศนั้นๆให้ “ก่อการทางสังคม”
ต้องหนักทาง “โหด-เลว-ต่ำช้า” เข้าไว้
ไม่งั้น คนไม่กลัว เมื่อไม่กลัว ก็จะไม่สยบยอมและไม่เชื่อฟัง!
ยุคนั้น การสกัดคอมมูนิสต์ เป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯ เมื่อกรอหนังกลับ ทำให้เห็นว่า
อ้อ..ที่สหรัฐฯหนุนรัฐบาลจอมพลป.เพราะรัฐบาลจอมพล ป.ต่อถึงจอมพลสฤษดิ์ เป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย
ที่ไม่แตะต้องสถาบัน เพราะเล็งเห็น สถาบันเป็นแกนไม่ให้คนหันไปหาคอมมิวนิสต์อยู่แล้ว
สหรัฐฯ จึงเป็นมหามิตรกับไทย ไปทางไหน ทั่วบ้าน-ทั่วเมือง เห็นแต่สติกเกอร์ USAID มือไทย-มือสหรัฐประสานบน แบกกราวน์รูปธงชาติ ๒ ประเทศ
ถึงยุคนี้ โลกเปลี่ยน เป้าหมายสหรัฐฯก็เปลี่ยนไปตามผลประโยชน์ด้วย
ประยุทธ์ ว่าก็ไม่ยอมนอน-สอนก็ไม่ยอมฟัง ไม่ใช่เด็กดีของสหรัฐฯ บอกให้เกลียดจีน ก็ไม่เกลียด บอกอย่าคบจีน ก็ไปนับญาติกัน
ต้องกำจัดมันให้พ้นวงจรอำนาจไป!
ส่วนสถาบัน การเป็นแกนรวมใจคนไทยผนึกแน่นในชาติ ยุคก่อนนั้น ต้องตามนโยบายสหรัฐฯอยู่แล้ว
แต่วันนี้ สหรัฐฯไม่ต้องการให้คนไทยผูกพันกับสถาบันจงรักภักดีต่อสถาบันเหมือนเดิม
ต้องการกระจายลูกแดงคือประชาชนที่เกาะกลุ่มในสถาบันให้แตกกระจายกันไป
เพื่อความเป็นเด็กดี-ว่านอนสอนง่าย ผ่าน “อำนาจใหม่” ที่เขาจะเชิดเป็นหุ่นเข้ามาครองอำนาจประเทศแทน
จึงใช้แผน อาหรับสปริง, ฮ่องกงสปริง, และไทยสปริง ล้างสมองพวกจาน พวกนักศึกษา พวกเอ็นจีโอ งานสำเร็จ จะได้เป็นพลเมืองอเมริกัน ชั้น ๓ เป็นของแถม
มีงานในสหรัฐฯ รอไว้แล้ว….
เฝ้าส้วมสาธารณะ ตามปาร์ค
ฉะนั้น แผนของเขาผ่านสามสัส “ต้องล้มสถาบัน”!
ตอนนี้มีแคมเปญ โปรปะกันดา จ่ายแสนกว่า นั่งเครื่องบินไปฉีดวัคซีนฟรี ที่อเมริกา
มีไอ้บ้า-อีบ้า คลั่งผสมงั่ง ยกมาเบลมไทย ทำนอง หาวัคซีนมาฉีดช้า ไปฉีดอเมริกาดีกว่า ฟรีด้วย
ไสหัวไปเลย ดัดจริต จ่ายเป็นแสน เพื่อจะไปฉีดวัคซีนอเมริกา ในขณะที่ประเทศไทย สลึงก็ไม่ต้องเสีย ฉีดให้ฟรีถึงก้นมุ้ง
พอนายกฯ บอก จาก ๑๐๐ ล้านโดส หาเพิ่มมาอีก ฉีดให้ครบทุกหัว ๑๐๐% ไปเลย
ยักเงี่ยง ไม่เอา..ฉีดแล้วอันตรายบ้าง ยี่ห้อนี้ไม่ดีบ้าง ไม่มีให้เลือกเหมือนอเมริกาบ้าง
ให้ลงทะเบียน “หมอพร้อม” เห็นว่า ตอนนี้ลงแค่ ล้านห้าแสนกว่าๆ หนุ่มวัย ๖๐-๗๐-๘๐ ทำไมไม่ลงทะเบียนกัน?
สรุป พอไม่มีก็ดา พอมี เกี่ยงว่าช้า พอวัคซีนมา เกี่ยงว่า ไม่อยากเสี่ยง
ผมว่า “ช่างศีรษะมัน” ซะบ้างก็ได้ คุณหมอ
คนอยากอยู่ ยังไงๆ เขาก็ต้องมารับฉีด ส่วนคนไม่อยากอยู่ เขาไม่มาฉีด มันก็ สิทธิเสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ ของเขาน่ะ
“ตถตา” นะคุณหมอ โควิดได้ชื่อว่า “ไวรัสล้างโลก”
ฉะนั้น อะไรที่โสโครก โควิดก็จะทำหน้าที่ชำระล้างและกวาดมันออกไป
โลกจะได้สะอาด ที่เหลือจะได้ดำเนินกันต่อไป ไม่งั้น จะมีคำว่า “ยุคศรีพระอริยเมตตรัย” บอกล่วงหน้าไว้เป็นร้อย-เป็นพันปีหรือ?
ไม่ต้องกลัววัคซีนจะเหลือหรอก
ยิ่งเหลือ-ยิ่งดี คำนวณไว้แต่เดี๋ยวนี้เลยว่า สยามไบโอฯ จะผลิตวัคซีนป้อนต่อเนื่องได้ช่วงไหน?
ของจุฬาฯ ที่ทดลองในขั้น ๒-๓ อีกสองตัว จะผ่านการทดลองเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เมื่อไหร่?
เอาข่าวมาตีปีบแจ้งโลกซะบ้าง นี่ไม่ใช่โปรปะกันดาและไม่ใช่เฟกนิวส์นะ
นี่ “ของจริง” อนาคตอันใกล้ ไทยเป็น “คลังวัคซีน” แน่
ประกาศเปิดรับ “ทัวร์วัคซีน” จากต่างประเทศไปเลย
แฟนคลับท่องเที่ยวไทยที่รอคอย เข้ามาเลย ทั้งเที่ยว-ทั้งฉีด เอากันให้โควิดอายไปเลย!
ผลิตได้มาก ส่งให้ ลาว-พม่า-เขมร เวียตนามด้วย CLMV กับไทย เป็นทั้งเพื่อนบ้าน เป็นทั้งพี่น้องร่วมสายเลือดทางประวัติศาสตร์ ตัดกันไม่ตาย-ขายกันไม่ขาด ต้องช่วยเหลือเฟือฟายกัน
จะไปหลงติดกับดัก “สำนักข่าวโทนาฟ” อยู่ทำไม?
“โทนาฟ” น่ะ
ใช้แก้ “คันตีน” รู้มั้ย อย่าไปสนใจมัน!