เลือกคุกจะได้คุก – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ว่อนสิครับ!

หนังสือจาก “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๗

เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมา เรื่องโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ๑๐,๐๐๐ บาท

นี่คงจะเป็นสาเหตุให้แกนนำรัฐบาลยืนเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง แถลงข่าวแบบกระท่อนกระแท่นสินะ

เพราะเนื้อหาในหนังสือของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยิ่งกว่าตอกฝาโลง!

โดยสรุปมีอยู่ ๔ ข้อ

๑.ความจำเป็นของโครงการ และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ

๒.แหล่งเงิน

๓.ระบบสำหรับโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ๑๐,๐๐๐ บาท

และ ๔.การบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต

ทั้ง ๔ ข้อ คือสิ่งที่รัฐบาลยังขาดความชัดเจน และมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ความจำเป็นของโครงการ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

จะพบว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตนี้ เป็นนโยบายทางการเมือง เพื่อใช้หาเสียงเลือกตั้ง

พรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือว่านโยบายนี้ จะทำให้ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

ขณะนั้น “เศรษฐา ทวีสิน” พูดชัดถ้อยชัดคำว่า นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล มีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจตามที่กล่าวอ้างในเวลาถัดมา

ยังไปไกลถึงขนาดบอกว่า หากนโยบายนี้สำเร็จ จะไม่มีมาเฟียในธุรกิจ ไม่มีตำรวจนอกแถวเรียกรับส่วยอีกต่อไป นั่นคือนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเมื่อครั้งพรรคเพื่อไทยเริ่มประกาศออกสู่สาธารณะใหม่ๆ

แต่ปัญหาใหญ่คือที่มาของเงิน ทำให้พรรคเพื่อไทยซึ่งได้เป็นรัฐบาลเพราะเหลี่ยมจัดกว่าพรรคก้าวไกล ต้องกลับไปคิดใหม่ เพราะไม่ง่ายเหมือนตอนหาเสียง

จึงเป็นที่มาของแนวคิดออกพระราชบัญญัติกู้เงิน แต่ติดเงื่อนไขกฎหมาย ที่ให้ทำเฉพาะกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน เศรษฐกิจประเทศอยู่ในวิกฤต

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของนโยบายอีกครั้ง

จากการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในสภาวะวิกฤต ไม่ใช่นโยบายสงเคราะห์ผู้ยากไร้ กลุ่มเป้าหมายจึงยังยืนยันอยู่ที่ ๕๐ ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า ๕ แสนล้านบาท

แต่เมื่อแนวทางนี้ไปไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่องที่มาของเงิน รัฐบาลก็เปลี่ยนวิธีการอีกครั้งดังที่แถลงเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ที่ผ่านมา คือใช้เงินจากงบประมาณ ๒๕๖๗-๒๕๖๘ และยืมเงิน ธ.ก.ส. ที่กลายเป็นข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในขณะนี้

สิ่งที่ ผู้ว่าแบงก์ชาตินำเสนอคือ ควรดูแลครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง

โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ๑๕ ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง ๑๕๐,๐๐๐ล้านบาท

ไม่จำเป็นต้องไปแจก ๕๐ ล้านคน ๕ แสนล้านบาท เพราะจะก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว

และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ

การเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ ๒๕๖๘ จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว ๕,๐๐๐ ล้านบาท

เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ มากกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจกระทบการจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี ๒๕๖๗ ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลดลงจนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน ภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกมีความไม่แน่นอนสูงและภาวะภัยธรรมชาติมีความรุนแรงมากขึ้น

การที่รัฐบาลแทงม้าตัวเดียว ไม่สนใจสถานการณ์รอบตัว ในยามที่ชาติวิกฤตจะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมามากมาย เพราะเงินที่ควรเก็บ หรือนำไปใช้อย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่า เช่น การศึกษา โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ถูกผลาญไปหมดแล้ว

การกู้เงิน ยืมเงิน หรือวิธีไหนก็ตามทีจาก ธ.ก.ส.นั้น ผู้ว่าแบงก์ชาติ เน้นย้ำว่า ต้องไม่ขัดแย้งกับการควบคุมระบบเงินตรา

อยู่ภายใต้กฎหมาย วัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส.

“…จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลความเสี่ยงและฐานะของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีข้อกังวลว่า การที่รัฐบาลจะมอบหมายให้ ธ.ก.ส.สนับสนุนโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ๑๐,๐๐๐ บาท โดยยังมีภาระหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส.ถึงประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท…”

เสียงเตือนจากผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะครับ

เพราะหากผิดไปจากนี้ ก็หมายถึงรัฐบาลจะสร้างหายนะทางเศรษฐกิจขึ้นมา

ภาระหนี้คงค้างก้อนมหาศาลนี้ ส่วนหนึ่งก็คือหนี้จำนำข้าวจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นแหละครับ

อีกสิ่งที่รัฐบาลอธิบายแล้วฟังไม่ขึ้นมาตลอดคือ ทำไมต้องไปพัฒนาระบบสำหรับโครงการใหม่ ทั้งๆ ที่ของเก่าก็มีอยู่ และสามารถรองรับได้

แถมประชาชนยังมีความเคยชิน

เช่น ระบบพร้อมเพย์ เป๋าตัง Thai QR Code

การพัฒนาระบบใหม่ต้องใช้เงินซึ่งรัฐบาลบอกว่าไม่เกินพันล้าน พูดราวกับว่า “พันล้าน” เป็นเพียงเศษเงิน

ประเด็นนี้จึงยังเป็นข้อกังขาว่าใครได้ประโยชน์

สุดท้ายคือ การทุจริต!

โครงการนี้ถูกทำให้มีความซับซ้อนและใช้เงินจำนวนมาก มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริตในขั้นตอนต่างๆ

ฉะนั้นมี ๒ ทางเลือกครับ

รัฐบาลจะทำตามที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติแนะนำ

หรือจะปล่อยให้ข้อแนะนำของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเป็นหลักฐานในศาล ว่าครั้งหนึ่งเคยมีการเตือนแล้ว แต่รัฐบาลละเลย

หมายถึงการเลือกที่จะอยู่ในคุกหรือนอกคุก

วันนี้รัฐบาลยังเลือกได้

Written By
More from pp
พีพีทีวี.กับอนาคตประวิทย์?
เห็นมั้ยล่ะ?..ข่าว “คู่รัก คู่ร้าง” น่ะจบยาก! วันวาน นักข่าวจึงยังตามจี้ถามดาราสาว “แพทรีเซีย กู๊ด” ที่เลิกเป็นแฟนกับ “พีท-พชร จิราธิวัฒน์” ต่อในหลายประเด็นสงสัย...
Read More
0 replies on “เลือกคุกจะได้คุก – ผักกาดหอม”