เปลว สีเงิน
“หน้าแตก” เลย…ผม!
ยืดอกฟันไปว่า “พิธา-ก้าวไกล” ต้องรอด
เย็นวาน เลยต้องเปิดไวน์ขอขมา ตกค่ำ “วิ่งแก้บน” รอบหน้าสำนักงานอีก ๕๐ รอบ สดชื้นนน…สดชื่น
วันศุกร์ เห็นว่าคุณธีรยุทธ จะไปเปิดประตูบานที่ ๒ ด้วยการ “ยื่นยุบพรรค” ที่กกต.ว่าด้วยความผิดตาม “พรป.พรรคการเมือง” มาตรา ๙๒ (๑) (๒)!
ผมก็คงต้องเปิดไวน์ขอขมาและวิ่งแก้บนหน้าบานอีก!
ก่อนคุยเรื่องคำวินิจฉัยศาล…..
ต้องรู้โจทย์ที่ “คุณธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ไปร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก่อน
คือร้องว่า การกระทำของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ผู้ถูกร้องที่ ๑ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ ๒ ที่เสนอร่าง พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ..) พ.ศ.
เพื่อ “ยกเลิก” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งและยังดำเนินการต่อเนื่อง นั้น
เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง หรือไม่?
บ่ายวาน (๓๑ มค.๖๗) “ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา มติเอกฉันท์ ว่า …..
การกระทำของ “นายพิธา” และ “พรรคก้าวไกล” ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ ๔๙ วรรคหนึ่ง
สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๒ เลิกการกระทำ แสดงความเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๒
ทั้งไม่ให้มีการแก้ไข มาตรา ๑๑๒ ด้วยวิธีการ ซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดในอนาคตด้วย
สรุป…”พิธา-ก้าวไกล” ไม่รอด!
แก้น่ะ…แก้ได้
แต่ “ต้องแก้” ด้วยทำใน “กระบวนการทางนิติธรรม” โดยชอบ ไม่ใช่โดยเฉ
และศาลยัง “วางบรรทัดฐาน” ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เป็นที่เข้าใจทั่วกันด้วย ว่า
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงสถานะเหนือการเมือง เป็นกลาง
การกระทำใดๆ ทั้งส่งเสริมหรือทำลาย สูญเสียสถานะเป็นกลางหรือเหนือการเมือง ย่อมเป็นการ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย”
เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม เข้าลักษณะ “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
แม้พิธา-ก้าวไกล โต้แย้งว่า…
รัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ มีองค์ประกอบการกระทำอันเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ต้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพก็ตาม
แต่ทั้งนี้ การใช้เสรีภาพ ต้องไม่ขัดต่อความสงบ ศีลธรรมอันดี หรือไม่ละเมิดเสรีภาพบุคคลอื่น
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕ มาตรา ๓๙ กำหนดกรอบการใช้สิทธิเสรีภาพ สอดคล้องกติการะหว่างประเทศไว้ ๓ ข้อ
๑.ต้องไม่กระทบความมั่นคงปลอดภัยต่อชาติ
๒. ต้องไม่กระทบความสงบเรียบร้อย
๓.ต้องไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของคนอื่น
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า………
การกระทำของพิธา-ก้าวไกลมีพฤติการณ์ใช้เสรีภาพความเห็น เพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยซ่อนเร้น หรือ ผ่านการนำเสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา ๑๑๒ และใช้เป็นนโยบายพรรค แม้เหตุการณ์คำร้องผ่านพ้นไปแล้ว
แต่การดำเนินการรณรงค์ให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา ๑๑๒ มีลักษณะดำเนินการต่อเนื่อง
เป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน
ทั้งการชุมนุม จัดกิจกรรม รณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เสนอร่างกฎหมายต่อสภาฯ การใช้นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง
-หากปล่อยให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๒ กระทำต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุในการล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๒ จึงเป็นการ “ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามรัฐธรรมนูญ ๔๙ วรรคหนึ่ง
โดยวรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
แน่นอน….
“พิธา-ก้าวไกล” ตอนนี้ ถ้าย้อนไปยุคปฎิวัติฝรั่งเศส อยู่สภาพเดียวกับ “รอแบ็สปีแยร์และแซง-ฌุชต์” แก๊งล้มกษัตริย์ฝรั่งเศส
ลงท้าย ตัวเองก็ถูกประชาชนลากคอไปพาดกิโยติน!
ในคำวินิจฉัยบอกว่า มาตรา ๑๑๒ อยู่ในลักษณะ ที่ ๑
ความผิดมั่นคงแห่งรัฐและความผิดแห่งราชอาณาจักร
เนื่องจากต้องคุ้มครองทั้งความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรและเกียรติยศประมุขรัฐ
สอดคล้องรัฐธรรมนูญมาตรา ๒
“ไทยมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
สถาบันพระมหากษัตริย์จึงสัมพันธ์กับความมั่นคงของประเทศ เพราะพระมหากษัตริย์กับไทยหรือชาติไทย “ดำรงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกัน”
เป็นศูนย์รวมจิตใจคนในชาติ ธำรงปึกแผ่นของคนในประเทศ การกระทำความผิดต่อสถาบันฯ
จึงเป็นการกระทำผิดต่อความมั่นคงของประเทศด้วย
การเสนอให้ มาตรา ๑๑๒ ออกจากลักษณะที่ ๑ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
กระทำมุ่งหวังให้ความผิด มาตรา ๑๑๒ เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญและความร้ายแรงระดับเดียวกับความผิดตามหมวดลักษณะ ๑ และไม่ให้ถือว่ากระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป นั้น
ศาลฯ มองว่า เจตนามุ่งหมาย “แยกสถาบันพระมหากษัตริย์” กับ “ความเป็นชาติไทย” ออกจากกัน
เป็นอันตรายต่อ “ความมั่นคงของรัฐ” อย่างมีนัยสำคัญ
การที่นายพิธากับพวก เสนอเพิ่มบทบัญญัติ ผู้กระทำผิดพิสูจน์เหตุยกเว้นผิด ยกเว้นโทษ ตามร่างกฎหมายของพรรคให้เพิ่มมาตรา ๑๓๕/๗ ว่า
“ผู้ใดติชม หรือแสดงความเห็น หรือแสดงข้อความโดยสุจริต รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อดำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่เป็นความผิด”
และมาตรา ๑๓๕/๘ “ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อหาที่ผิดเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ” นั้น
ศาลฯ บอกว่า…….
“ย่อมทำให้ผู้กระทำผิด ใช้ข้อกล่าวอ้างว่าตนเข้าใจผิด และเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นความจริง เป็นข้อต่อสู้และขอพิสูจน์ความจริงทุกคดี
เช่นเดียวกับผู้กระทำผิดคดีหมิ่นประมาททั่วไปยกต่อสู้ ทั้งที่ลักษณะกระทำผิดมีความร้ายแรงมากกว่าดูหมิ่นบุคคลธรรมดา”
การเสนอให้ความผิด มาตรา ๑๑๒ ยอมความได้ โดยเพิ่มความในมาตรา ๑๓๕/๙ วรรคหนึ่งว่า “เป็นความผิดยอมความได้”
และวรรคสอง ให้สำนักพระราชวังร้องทุกข์ และถือว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติพระมหากษัตริย์ และให้สำนักพระราชวัง ในฐานะผู้เสียหายร้องทุกข์ นั้น
ศาลฯ บอกว่า…..
“มุ่งหมายให้การกระทำผิดตามมาตรา ๑๑๒ กลายเป็นความผิดในเรื่องส่วนพระองค์ของสถาบันฯ เป็นการลดสถานะความคุ้มครองของสถาบันฯให้รัฐไม่ต้องเป็นผู้เสียหายในเรื่องดังกล่าวโดยตรง และให้สถาบันฯเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนและจะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖”
“ส่งผลให้การกระทำผิด มาตรา ๑๑๒ ไม่ใช่การกระทำผิดที่กระทบต่อชาติและประชาชน ทั้งที่การกระทำผิดดังกล่าว ย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจของชนชาวไทย ที่มีความเคารพสถาบันฯ เพราะทรงเป็นประมุข และศูนย์รวมความเป็นชาติ ที่รัฐต้องคุ้มครองและรัฐต้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา”
“พิธา-ก้าวไกล” เบิกความ ยอมรับว่า พรรคนำเสนอนโยบายนั้นแก่กกต.เพื่อใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี ๒๕๖๖
และปัจจุบันยังคงปรากฏเป็นนโยบายการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๑๒ อยู่บนเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกล
ศาลวินิจฉัยว่า…….
การเสนอแก้ไข มาตรา ๑๑๒ เป็นนโยบายหาเสียงของพรรค แม้ไม่มีร่างแก้ไข มาตรา ๑๑๒ ให้เห็น ว่าจะแก้ไขในประเด็นใด และเสนอพร้อมนโยบายพรรคก็ตาม
แต่เว็บไซต์พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการแก้ไข มาตรา ๑๑๒ กับมีเนื้อหาที่จะแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๑๒ ทำนองเดียวกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา แก้ไขเกี่ยวกับความผิดหมิ่นประมาท เมื่อ ๒๕ มีค.๖๔ ที่ยื่นต่อประธานสภาฯ
ดังนั้น ถือได้ว่า พรรคก้าวไกล ร่วมกับพิธา เสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา แก้ไขเกี่ยวกับความผิดหมิ่นประมาท เมื่อ ๒๕ มี.๖๔ ที่ยื่นต่อประธานสภาฯ
อีกทั้งเนื้อหาร่างกฎหมาย พฤติการณ์แสดงออกถึงเจตนาของผู้ถูกร้องทั้ง ๒ ต้องการลดทอนการคุ้มครองสถาบันฯลง
โดยผ่านร่างกฎหมายและอาศัยกระบวนการทางนิติบัญญัติ อาศัยความชอบธรรมซ่อนเร้นผ่านสภา
นอกจากนี้ “พิธา-ก้าวไกล” ยังมีพฤติการณ์หาเสียงทางการเมือง เพื่อเสนอแนวความเห็นทางการเมืองแก่ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
หากประชาชนทั่วไป ไม่รู้เจตนาแท้จริงของพิธา-ก้าวไกล อาจหลงกับความเห็น ผ่านการเสนอร่างกฎหมายและนโยบายของพรรค”
การที่พรรคก้าวไกล เสนอแก้ไขมาตรา ๑๑๒ เพื่อลดสถานะของสถาบันฯเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้ง และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เป็นการใช้นโยบายพรรค โดยนำสถาบันฯหวังผลคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะเลือกตั้ง
มุ่งหมายให้สถาบันฯอยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน
ทำให้สถาบันฯ เป็นฝักใฝ่ ต่อสู้ แข่งขัน หรือรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตือน ไม่คำนึงหลักการพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มีหลักสำคัญว่า “พระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง”
การที่ก้าวไกล เสนอแก้ไข มาตรา ๑๑๒ และใช้เป็นนโยบายพรรคหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว
มีเจตนา “เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ” เป็นเหตุให้สถาบันฯ ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เป็นเหตุให้นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด
ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องทั้ง ๒ ฟังไม่ขึ้น
ศาลยกทั้งนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์ “ชาติไทยกับพระมหากษัตริย์” ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงจนเป็น “เนื้อเดียวกัน” ให้เห็นชัด
แล้ว “พิธา-ก้าวไกล” มีปฎิกริยาตอบสนองยังไงบ้างต่อคำวินิจฉัย
ก็เห็น “พิธา-ชัยธวัช” พร้อมสส. “วอลเปเปอร์” แถลงว่า คำวินิจฉัยนี้ “กระทบความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ”!
แต่เห็นบรรดา “เกจิหน้าจอ” ฟันธง
“ยิ่งยุบ-ก้าวไกลยิ่งโต”….ผมก็โมทนาด้วย
อย่าโตแบบ “อึ่งอ่าง” พองแข่ง “แม่วัว” ลงท้าย “ท้องแตกตาย” ก็แล้วกัน!
เปลว สีเงิน
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗