ผักกาดหอม
รับทราบโดยทั่วกันนะครับ
การแก้ไข ม.๑๑๒ ในแบบฉบับของพรรคก้าวไกลนั้น เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
อ่านดีๆ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวานนี้ (๓๑ มกราคม) ไม่ได้ห้ามการแก้ ม.๑๑๒ อย่างที่พรรคก้าวไกลเอาไปบิดเบือนกัน
“…อาศัยเหตุผลดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๒ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณาและการสื่อความหมายวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย…”
“ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ” ท่อนนี้สำคัญครับ
ถ้าแก้ ม.๑๑๒ โดยชอบตามกระบวนการทางนิติบัญญัตินั้นทำได้
แต่แบบที่ก้าวไกลปลุกระดมนั้น ทำไม่ได้
การแก้ไขตามเนื้อหาของพรรคก้าวไกล ระบุไว้อย่างไร?
ณ ขณะนี้ เว็บไซต์ พรรคก้าวไกล หน้าเว็บ, https://www.moveforwardparty.org/article/8844/ และ https://election66.moveforwardparty.org/policy/detail/policy_21 ยังปรากฏข้ออ้างและถึงวิธีการแก้ไข ม.๑๑๒ อยู่
ลิงก์แรกคือจุดยืนพรรคก้าวไกลต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
เนื้อหาระบุไว้ดังนี้ครับ
…ม.๑๑๒ มีปัญหาในทุกมิติ ทั้งตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้ พรรคก้าวไกลจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อแก้ไข ม.๑๑๒
โดยข้อเสนอแก้ไข ม.๑๑๒ ของเราเป็นข้อเสนอที่พอจะพูดคุยกันกับทุกฝ่ายด้วยเหตุและผลได้
ทั้งนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าหากสภาผู้แทนราษฎรไม่ร่วมมือกันอย่างแข็งขันเพื่อช่วยกันแก้ไขให้กฎหมายนี้เป็นธรรมขึ้นได้ สังคมก็จะเหลือเพียงตัวเลือกสุดท้าย คือ การยกเลิก ม.๑๑๒ ไปอย่างถาวรตามข้อเรียกร้องของประชาชนนอกสภา
หลังจากที่ร่างแก้ไข ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกลถูกสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรดองไว้เป็นเวลากว่า ๙ เดือน (ยื่นเข้าสู่สภาฯ มาตั้งแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) มาวันนี้ สถานการณ์มีความหนักหนาสาหัส เร่งด่วนขึ้นจนถึงจุดวิกฤต ประชาชนถูกจับกุมคุมขัง เยาวชนถูกจับเข้าคุก ไม่ได้สิทธิประกันตัวนับร้อยคนด้วยข้อหา ๑๑๒ พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องขอให้ประธานสภาบรรจุวาระพิจารณาร่างแก้ไข ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกลเข้าสู่สภาเพื่อเริ่มการพิจารณาโดยทันที
ย้ำอีกครั้ง! ม.๑๑๒ ต้องถูกแก้ ก่อนสายเกินการณ์
สาระสำคัญการแก้ไข ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกล เป็นการย้ายความผิดฐาน ๑๑๒ ออกจากหมวดความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
[๑] ลดอัตราโทษลงอย่างมาก ไม่กำหนดโทษขั้นต่ำ รวมทั้งสามารถพิจารณาลงโทษปรับแทนการจำคุก เพื่อให้ได้สัดส่วนกับความผิด
ลดโทษ จากเดิมจำคุก ๓-๑๕ ปี : แก้ไขโทษจำคุกเหลือไม่เกิน ๑ ปี หรือมีเพียงโทษปรับไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำและปรับ (สำหรับการกระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์)
ลดโทษ จากเดิมจำคุก ๓-๑๕ ปี : แก้ไขโทษจำคุกเหลือไม่เกิน ๖ เดือน หรือมีเพียงโทษปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำและปรับ (สำหรับการกระทำความผิดต่อ พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์)
[๒] เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลทั่วไปนำฐานความผิดนี้ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กลั่นแกล้งผู้อื่น หรือนำไปใช้โดยไม่สุจริต
จากเดิมประชาชนทั่วไปสามารถฟ้องร้องคดีนี้ได้ : แก้ไขให้เฉพาะสำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์ รวมถึงกำหนดให้ความผิดในลักษณะนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
บทยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษ
ยกเว้นความผิด หากเป็นการติชม แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ยกเว้นโทษ หากพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นความจริง แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์เรื่องความเป็นอยู่ส่วนพระองค์ “และ” การพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน…
ส่วนลิงก์ที่สอง คือนโยบายแก้ ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกล
….ศาลหรือฝ่ายตุลาการ เป็นส่วนสำคัญของกลไกรัฐที่ประชาชนคาดหวังให้ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง เป็นอิสระจากการถูกแทรกแซง และด้วยมาตรฐานที่คงเส้นคงวา เพื่อความยุติธรรมของประชาชนทุกคน แต่ที่ผ่านมา คำพิพากษาและคำวินิจฉัยของศาลในหลายกรณีทางการเมือง ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นถึงความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ดังกล่าว และการขาดกลไกตรวจสอบถ่วงดุลศาลที่ประชาชนมีส่วนร่วม
ยิ่งไปกว่านั้น เสรีภาพขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลได้มีการออกและบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับเพื่อพยายามปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนที่เห็นต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ดังนั้น ปัญหาในเชิงหลักนิติธรรมทางกฎหมายจึงมีความสำคัญและจำเป็นต้องทบทวนเพื่อให้เกิดเสรีภาพและความเท่าเทียมตามมาตรฐานประชาธิปไตยสากล
ข้อเสนอ
ลดโทษของกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีความสอดคล้องกับหลักสากล โดยให้เหลือเพียง
จำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระมหากษัตริย์)
จำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์)
(โทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาจะถูกลดลงจากโทษจำคุก ๐-๒ ปี เหลือแค่โทษปรับ)
ย้ายกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ออกจากหมวดความมั่นคงให้เป็นความผิดที่ยอมความได้ โดยกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีสิทธิแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษเพียงผู้เดียว
บัญญัติให้ชัดเจนในกฎหมาย เพื่อคุ้มครองกรณีการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือการพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธาณะ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษสำหรับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา….
ครับ…นโยบายแก้ ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกลอยู่ใน นโยบาย ๙ เสาหลัก ประชาธิปไตยเต็มใบ
การนำการแก้ไข หรือยกเลิก ม.๑๑๒ ไปผูกกับประชาธิปไตยเต็มใบ ถือเป็นเจตนาที่ชัดเจนของพรรคก้าวไกล
เพราะเท่ากับว่า ม.๑๑๒ ในปัจจุบัน ทำให้ประชาธิปไตยไม่เต็มใบ
ประชาธิปไตยเต็มใบหรือไม่ ปัจจัยหลักอยู่ที่นักการเมือง มากกว่าสิ่งอื่นใด
รวมถึงการขู่ว่า หากไม่แก้ไข จะนำไปสู่การยกเลิกม.๑๑๒ โดยการกดดันของประชาชนนอกสภาฯ มันคือการปลุกระดม
หลังมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็มีการจุดพลุในทันทีโดย “สุชาติ สวัสดิ์ศรี”
“เมื่อแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องยกเลิกสถานเดียวเท่านั้น บอกผ่านไปยัง ‘ผู้เป็นที่รัก’ ที่ชั้น ๑๔ ด้วย”
การที่แกนนำพรรคก้าวไกลเรียงหน้าแถลงข่าวทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ไขสือ ตั้งคำถาม ล้มล้างการปกครองคืออะไร
ก็อย่างที่ทำมาตลอดนั่นแหละครับ
เวลาอยู่ในสภาฯ บอกว่าแก้ไข
แต่อยู่นอกสภาฯ ไปปลุกระดมให้ยกเลิก
มันชัดเจนมานานแล้ว ม.๑๑๒ ไม่มีปัญหาอะไรเลย กระทั่งมีพวกล้มเจ้าเข้าสู่การเมือง ม.๑๑๒ จึงต้องทำงานไปตามสถานการณ์
และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่เกิดผลกระทบอะไรกับฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างที่ “พิธา” และ “ชัยธวัช” แถลงข่าวบิดเบือนเลย เพราะเป็นการวินิจฉัยในขอบเขตของร่างแก้ไข ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกลเท่านั้น
ชัดเจนครับ!
“…การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอให้มาตรา ๑๑๒ ออกจากลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวังให้ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญ และความร้ายแรงระดับเดียวกับความผิด ในหมวดของลักษณะ ๑ และไม่ให้ถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป นั้นมุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ…”
เลิก เซาะกร่อน บ่อนทำลาย เสียที