ผักกาดหอม
ยากที่จะรับได้ครับ
การโจมตีโรงพยาบาลที่ฉนวนกาซา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามอิสราเอล-ฮามาส
แม้จนถึงขณะนี้ยังโยนกันวุ่นว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายก็ตามที
กองทัพอิสราเอลอ้างว่า มีหลักฐานที่จะแจกจ่ายให้แก่สื่อมวลชนทุกคนเพื่อยืนยันว่า ระเบิดที่โรงพยาบาลในกาซาเกิดจากกลุ่มอิสลามิก ญิฮาด ยิงจรวดผิดพลาด
และอ้างว่าระบบเรดาร์ของอิสราเอลติดตามจรวดที่กลุ่มก่อการร้ายในกาซาระดมยิงในช่วงเกิดระเบิดที่โรงพยาบาล
ผลการวิเคราะห์วิถีจรวดพบว่า ถูกยิงจากสถานที่ใกล้กับโรงพยาบาล
ขณะที่ กองกำลังป้องกันอิสราเอลหรือไอดีเอฟ (IDF) ไม่ได้ยิงใส่โรงพยาบาลทั้งทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ
ฝั่งฮามาสก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเช่นกัน ตอบโต้คำแถลงของกองทัพอิสราเอลว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
อิสราเอลไม่สามารถหลอกลวงใครได้
อิสราเอลต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการสังหารหมู่อันน่าสยดสยองด้วยอาวุธอเมริกัน ที่มีแต่ฝ่ายอิสราเอลเท่านั้นที่มีอาวุธเหล่านี้อยู่ในครอบครอง
ก็อ้างกันไปครับ
กว่าจะรู้ว่าฝีมือใครคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย ฉะนั้นในเบื้องต้นนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด สิ่งแรกที่ทุกฝ่ายต้องทำคือ หยุดยิงเสียก่อน ไม่งั้นก็โบ้ยกันไปมา
ส่วนประชาชนก็ตายเป็นผักปลา
เห็น “กาญจนา ภัทรโชค” อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ในอีกไม่นานรัฐบาลไทยจะมีแถลงการณ์จุดยืนกรณีนี้ ก็ดีครับ รัฐบาลไทยควรจะมีจุดยืนที่ชัดเจน
ขอแค่อย่าปากไวเหมือนคราวก่อน
ประณามไปเลยครับ เพราะการถล่มโรงพยาบาลผิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน แค่อย่าทะลึ่งไประบุว่าเป็นฝีมือใครเท่านั้นเอง
แม้อิสราเอล จะเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันว่ากรณีนี้เป็นการสร้างสถานการณ์ ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปใส่เต็มสูบ
นี่แหละครับสงคราม มีแต่ความสูญเสีย
ใครที่ยังคิดว่าไทยไม่น่าอยู่ อยากย้ายประเทศ ก็ลองเอากลับไปคิดใหม่
เราไม่ได้มีปัญหาที่ฝังรากลึกจนเกิดความขัดแย้งชนิดคุยกันไม่ได้
ความขัดแย้งส่วนใหญ่จะเริ่มมาจากฝ่ายการเมืองแบ่งแยกประชาชน ใช้ผลประโยชน์หลอกล่อ กวาดต้อนประชาชนไปอยู่กับฝ่ายตนให้ได้มากที่สุด
แต่ประชาชนไม่ผิดหรอกครับ เพราะความยากแค้น เมื่อนักการเมืองหยิบยื่นให้ก็ต้องเป็นผู้รับตามสภาพ
เดิมทีมีเหลืองแดง
วันนี้มีส้มเข้ามาอีกฝ่าย
กำลังจะกลายเป็นคนไทยสามฝ่าย ความซับซ้อนมันก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ฉะนั้นนักการเมืองไม่ควรสร้างเงื่อนไขขัดแย้งเพิ่มเติมอีก
แต่คงไม่ถึงขั้นทำสงครามกันแบบเขมรสามฝ่ายในอดีต เพราะหากเราไปถึงขั้นนั้นก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์เจอในวันนี้
อยากเจอกันหรือครับ!
มีความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับ การแจกเงินดิจิทัล กำลังกลายเป็นความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ตัวนายกฯ เศรษฐาเองกับพรรคพวกในคณะรัฐมนตรีนั่นแหละครับเป็นคนจุดมันขึ้นมา
เมื่อประชาชนมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายที่คัดค้าน มันก็จะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตได้ไม่ยาก
ดูกรณีจำนำข้าวเป็นตัวอย่าง สร้างความเสียหายให้ประเทศหลายแสนล้าน แต่ในทางการเมืองพรรคเพื่อไทยยังได้รับความนิยมจากประชาชน จนได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
และการกลับมาก็ยังคงใช้นโยบายประชานิยมสุดโต่งเหมือนเดิม
ฝั่งที่คัดค้าน ซึ่งก็คือฝ่ายที่ต่อต้านระบอบทักษิณเพราะทนเห็นรัฐบาลคอร์รัปชันไม่ไหว ก็ยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน
มีส้มมาแทรกเพราะต้องการเปลี่ยนประเทศไทย ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มันจึงมีความยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่การต่อสู้หลักๆ วันนี้ยังเป็นการตรวจสอบรัฐบาลหุ่นเชิดทักษิณ
“หมอวรงค์” มือปราบจำนำข้าวขยับแล้ว
วานนี้ (๑๘ ตุลาคม) ไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้พิจารณาไต่สวน และมีความเห็นส่งศาลปกครอง เพื่อระงับโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาล
และขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยสั่งให้ระงับโครงการดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
“หมอวรงค์” ตั้งคำถามง่ายๆ ถ้าต้องการช่วยเหลือคนจน ทำไมถึงต้องแจกให้คนรวยด้วย
เอาง่ายๆ คือ สส. ๑ คน มีผู้ช่วย ๘ คน เฉพาะ สส.รวมครอบครัวก็จะได้ประมาณ ๘ แสนบาท
ครอบครัวของนายกรัฐมนตรีก็จะได้ ๔-๕ หมื่นบาท
และที่เป็นข้อกังขาคือ ทำไมแจกเป็นเงินดิจิทัลหรือโทเคน ซึ่งมีความซับซ้อน ชาวบ้านไม่เข้าใจ เพราะต้องมีการแลกเปลี่ยนจากเงินสดเป็นโทเคน และโทเคนเป็นเงินสด
โดยเฉพาะเงื่อนไขของการจ่ายเงินโทเคนที่ระบุว่าต้อง ๖ เดือนขึ้นไปถึงจะแลกเป็นเงินสดได้
คนจนจะได้ประโยชน์อะไร เพราะผู้ค้ารายย่อย ต้องหมุนเงินทุกวัน โทเคน จะกลายเป็นอุปสรรค ผิดกับนักธุรกิจรายใหญ่ ทำให้โทเคนไปกองอยู่ที่นั่น
เมื่อคนยากจนต้องการเงินสดไม่ได้ต้องการเงินโทเคน นี่อาจนำไปสู่การฟอกเงินสีเทาครั้งใหญ่ในการรับซื้อโทเคนจากคนยากจนที่ต้องการเงินสด
ขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่สามารถชี้แจงได้ว่าจะนำเงินจากไหนมาทำโครงการนี้ จึงกังวลว่าสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การทุจริตกระจายไปทั้งแผ่นดิน
ที่จริงคำถามเรื่องทำไมต้องเป็นโทเคน หากฉุกคิดกันสักนิดหนึ่ง จะพบว่ารัฐบาลสอดไส้อะไรเอาไว้มากมาย
จะอ้างว่าต้องการให้สังคมไทยใช้จ่ายเป็นโทเคนอย่างนั้นหรือ ดูจะเป็นความคิดที่ปัญญาอ่อนไปหน่อย เพราะคนทั่วไปไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้เท่าพวกเล่นแร่แปรธาตุ
และไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของผู้คนเลย
วันนี้ประชาชนเขาเคยชินกับการใช้จ่ายด้วยการโอนผ่านแอปธนาคาร ด้วยการสแกนจ่าย เสียเป็นส่วนใหญ่แล้ว
นี่คือสังคมไร้เงินสดที่เข้าใจง่าย ไม่มีใครเสียเปรียบใคร
ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนชั่ว คนโลภ
ไม่ต้องไปเสี่ยงอย่างที่ นายกฯ เศรษฐา เคยเจ๊งมาแล้ว
ฉะนั้นถ้า ๖ เดือนจบ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ต้องเป็นโทเคน
แอปเป๋าตังมีอยู่แล้ว และมีแนวโน้มจะใช้กันต่ออีกหลายสิบปี เพราะซื้อหวยได้
อะไรที่มันง่ายๆ ทำไมไม่ทำ
แล้วจะไม่ให้เขาตั้งข้อสังเกตว่า นายกฯ เศรษฐาต้องการหาประโยชน์จากโทเคนได้อย่างไร.