ชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรากฏในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ครม. ชุดใหม่ อาจเป็นเซอร์ไพรซ์ทางการเมืองที่หลายคนคาดไม่ถึง แต่สำหรับผู้ที่ติดตามแนวคิดและแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติมาตลอดย่อมทราบดีว่า
“พีระพันธุ์” เคยนำเสนอหลักคิดและนโยบายด้านพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้กลไกด้านกฎหมายที่เขาเชี่ยวชาญมาปรับปรุงโครงสร้างด้านพลังงานของประเทศให้มีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประชาชน เช่น นโยบายการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีเพื่อลดราคาน้ำมัน เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น “พีระพันธุ์” ยังมีพื้นฐานชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้บุกเบิกกิจการพลังงานในอดีต ซึ่งมีส่วนปลูกฝังตัวตนของเขาในปัจจุบัน
ในอดีต คุณพ่อของเขา “พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค” ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการด้านพลังงานของไทย โดยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการพลังงานทหาร และผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิง สังกัดกระทรวงกลาโหม ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเร่งรัดพัฒนาประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยเป็นผู้บุกเบิกก่อสร้าง “โรงกลั่นน้ำมัน” แห่งแรกของประเทศไทย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2502 และเป็นผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมัน “สามทหาร” เพื่อจำหน่ายน้ำมันที่ขุดและกลั่นได้เองจากโรงกลั่นน้ำมันที่อำเภอฝางให้ประชาชนใช้ในราคาถูก และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมสมัยใหม่ในประเทศในเวลาต่อมา
โดยรัฐบาลสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้แปรสภาพองค์การเชื้อเพลิงและปั๊มน้ำมันสามทหารให้กลายมาเป็น “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” ซึ่งกลายมาเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
พลโทณรงค์ฯ เข้าดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการพลังงานทหารและรักษาราชการผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิงในปี พ.ศ.2497 ก่อนดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิงเต็มตัวในปีถัดมา ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเตรียมเจรจายกเลิกข้อผูกพันหลังสงครามที่ทำไว้กับบริษัทต่างชาติอย่างเสียเปรียบ โดยในข้อผูกพันดังกล่าวนั้นได้กำหนดเงื่อนไขให้บริษัทน้ำมันต่างชาติซึ่งเป็นบริษัทในเครือของประเทศผู้ชนะสงคราม สามารถเข้ามาทำการค้าขายน้ำมันในประเทศไทยได้อย่างเสรี และผูกขาดการขายน้ำมันให้แก่รัฐบาลไทย ขณะที่รัฐบาลไทยไม่สามารถทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันและไม่สามารถจำหน่ายน้ำมันให้แก่หน่วยงานราชการและประชาชน ยกเว้นในกิจการทหาร
ต่อมารัฐบาลไทยสามารถเจรจาต่อรองปรับแก้สัญญาให้คนไทยสามารถเปิดดำเนินกิจการน้ำมันได้เองเช่นเดียวกับบริษัทต่างชาติ โดยมีพลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค บิดาของ “พีระพันธุ์” เป็นทั้งบุคลากรหลักในการเจรจาและเป็นทั้งผู้การวางรากฐานให้องค์การเชื้อเพลิงเป็นผู้ดำเนินการจัดหาและกลั่นน้ำมัน รวมทั้งดำเนินธุรกิจบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ประชาชนในราคาถูกภายใต้ชื่อว่า “ปั๊มสามทหาร” โดยต่อมา “องค์การเชื้อเพลิง” และ “ปั๊มสามทหาร” ก็ได้แปรสภาพมาเป็น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และกลายมาเป็น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ส่วน “ปั๊มสามทหาร” ทั้งหมด ก็กลายมาเป็น “ปั๊ม ปตท.” ในปัจจุบัน
รัฐบาลไทยในขณะนั้นยังได้เชิญภาคเอกชนมาร่วมทำการสำรวจหาแหล่งปิโตรเลียม และกลั่นน้ำมันในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นยุคบุกเบิกอุตสาหกรรมปิโตรเลียมสมัยใหม่ในประเทศ
เมื่อรัฐบาลไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้เข้ามาดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมอย่างจริงจัง พลโทณรงค์ฯ จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในนามของกรมการพลังงานทหารและองค์การเชื้อเพลิงในกิจการพลังงานของประเทศ โดยเฉพาะการขุดเจาะน้ำมันที่เริ่มต้นเป็นครั้งแรกของประเทศที่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันดิบแห่งแรกที่พบในประเทศไทย โดย พลโทณรงค์ฯ เป็นผู้ลงมือคุมการดำเนินการและการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของประเทศที่อำเภอฝางด้วยตนเอง จนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม นำความภาคภูมิใจมาให้คนไทยและกองทัพไทยอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ผลักดันให้เกิดการตื่นตัวเรื่องจัดหาและพึ่งพาทรัพยากรพลังงานในประเทศ จนพัฒนาไปสู่การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทยในปัจจุบัน
ในระหว่างการบุกเบิกการขุดเจาะน้ำมันที่อำเภอฝาง พลโทณรงค์ฯ ยังได้ถวายการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งเสด็จทอดพระเนตรกิจการของหน่วยสำรวจน้ำมันอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และทรงประทับแรม ณ พระตำหนัก ในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันฝาง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2501 ด้วย
ด้านชีวิตส่วนตัว พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค เกิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2452 เป็นบุตรชายของ พระยาสาลีรัฐวิภาค และ คุณหญิงขนิฐา สาลีรัฐวิภาค จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และได้เข้าศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จเตรียมแพทย์รุ่นเดียวกับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว โดยเขาเลือกที่จะไม่ศึกษาต่อด้านการแพทย์ แต่สอบทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ จนได้รับปริญญาตรีด้านการประมงและด้านสัตววิทยา
หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ พลโทณรงค์ฯ ได้เข้ารับราชการในกองการประมง กระทรวงเกษตราธิการ ก่อนขอโอนย้ายไปเป็นข้าราชการทหาร และได้ใช้ความสามารถช่วยเหลือราชการในการเจรจาการค้ากับต่างประเทศในยุคที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะปัญหาการค้าข้าวและน้ำมัน จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี รักษาการผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ รักษาการปลัดกระทรวงเศรษฐการ และต่อมามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐการ (ปัจจุบันคือกระทรวงพาณิชย์) ก่อนโอนมาดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการพลังงานทหาร และ ผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิงที่ดูแลเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ ตั้งแต่ยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม จนถึงยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากนั้นจึงย้ายไปช่วยปฏิบัติราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเมื่อ พ.ศ. 2509 จนเกษียณอายุราชการ ภายหลังเกษียณอายุ พลโทณรงค์ฯ ยังรับเป็นอาจารย์พิเศษในภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยไม่รับเงินเดือนด้วย
ชีวิตราชการของ พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ด้านชีวิตครอบครัว พลโทณรงค์ฯ สมรสกับ นางโสภาพรรณ (สกุลเดิม สุมาวงศ์) บุตรีพระมนูเวทย์วิมลนาถ และคุณหญิงแฉล้ม มนูเวทย์วิมลนาท มีบุตรธิดา 5 คน โดย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นบุตรคนที่ 4
“พีระพันธุ์” เคยเล่าถึงแนวคิดและทัศนคติของคุณพ่อของเขาว่า “คุณย่าเคยเล่าเรื่องคุณพ่อสมัยหนุ่มๆ บางวันคุณพ่อกลับบ้านมาเท้าเปล่า คุณย่าก็ถามถึงรองเท้าเพราะนึกว่าคุณพ่อไปลืมไว้ คุณพ่อตอบว่า ไม่ได้ลืมที่ไหน แต่ตอนขับรถกลับบ้าน เห็นคนแก่เดินข้างถนน ไม่มีรองเท้าใส่ ก็เลยถอดให้เค้าไป…คุณพ่อคอยปลูกฝังผมกับลูกๆทุกคนมาตลอดว่า เรามีความรู้ เรามีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น เราต้องเอาความรู้ เอาโอกาสของเราไปช่วยเหลือคนอื่น ถ้าหากว่าเราเอาแต่ตัวเราคนเดียว สุดท้ายเราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องแบ่งปันช่วยเหลือคนอื่นด้วย คุณพ่อจะสอนเราแบบนี้และเป็นแนวทางที่คุณพ่อรับมาจากคำสอนของคุณปู่อีกที…คุณพ่อเป็นคนที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศจริงๆ ผมไม่เคยเห็นวันไหนที่คุณพ่อไม่ทำงาน ผมเคยถามว่า พ่อไม่นอนเหรอ? คุณพ่อบอกว่า พ่อยังทำงานไม่เสร็จ ผมถามว่า พ่อทำอะไร? คุณพ่อตอบว่า ทำงานให้บ้านเมือง”
นอกจากการปฏิบัติหน้าที่และสร้างผลงานอันเป็นคุณูปการต่อแผ่นดินไทยไว้มากมายแล้ว พลโทณรงค์ฯ ยังได้ถ่ายทอดสปิริตของการทำงานเพื่อบ้านเมืองและการช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสไว้ให้ทายาทรุ่นหลังอย่าง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ได้ทำหน้าที่สานต่อสืบไปด้วย
เจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่นี้จึงน่าจับตาอย่างยิ่ง!