สันต์ สะตอแมน
บริษัทเลิกกิจการแล้วจะประชุมผู้ถือหุ้นหาพระแสงไปทำไม?
เนี่ย..ผมไม่ได้จะปุจฉา เพื่อฟังวิสัชนาจากกูรู-นักปราชญ์ท่านไหน เพียงแต่บ่นพึมพัมไปตามอารมณ์ของคนขี้รำคาญเท่านั้นแหละ!
เอ้า..แต่ท่านนี้ไม่ได้บ่น ผมหมายถึง “คุณเขมทัตต์ พลเดช” อดีตผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท. ที่ได้โพสต์เล่าเรื่องราวดีๆ มีสาระมาให้ได้อ่าน
แต่ด้วยข้อความยาวเฟื้อย ผมจึงใคร่ขออนุญาตคัดลอกเอาเฉพาะบางช่วง-บางตอนนำมาถ่ายทอดต่อ และจะพยายามไม่ให้เสียอรรถรสและประเด็นที่สำคัญ
คุณเขมทัตต์เริ่มต้นว่า.. “ได้ไปร่มร่วมเสวนา เรื่อง soft power ของไทย กรณีศึกษา “หมอหลวง “ ละครฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ในฐานะตัวแทนของสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุและโทรทัศน์
ก็เลยเล่าแนวทางที่พยายามจะผลักดันcontent ดีๆของไทย ให้เป็น soft power ระดับโลกให้มากขึ้น..
สำหรับประเทศไทยนั้นมีวัฒนธรรมซึ่งเป็นแหล่งที่มาของ Soft Power ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในต่างประเทศ เช่น นาฏศิลป์ไทย อาหารไทย มวยไทย และภาพยนตร์ไทย
ซึ่งรัฐบาลไทยมีนโยบายในการผลักดัน “Soft Power” ความเป็นไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5 F
ได้แก่ อาหาร (Food) ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) มวยไทย (Fighting) และเทศกาลประเพณี (Festival) สู่ระดับโลก
เพื่อช่วยสร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ แต่ผมมองเพิ่มเติมว่า soft power ที่เข้มแข็งควร ต้องมาจาก C model ด้วย คือ
1.Culture คือ รากเหง้าวัฒนธรรม /ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เช่น สมุนไพรไทย , ประเพณี, สิ่งทอ , อาหาร , ยา 2.creativity คือ การรู้จักสร้างสรรค์ออกมาในแง่มุมต่างๆ
3.content คือ การปรุงแต่งให้รสชาติจัดจ้าน จะเป็นละคร ก็ต้องถูกจริตผู้ชม จะเป็นสารคดี ก็ต้องลงลึกมีสาระ, จะเป็นเทศกาล ก็ต้องมีความเป็น unique เอกลักษณ์
4.communications ซึ่งหมายถึงการเชื่อมโยง ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยใช้พื้นฐานของดิจิตอล platform และinternet เข้ามาสนับสนุน มีการสื่อสารประชาสัมพันธุ์อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง
5.community คือ การสร้าง Fanclub การสร้างฐานผู้ชม จนถึงขั้นติดตาม เป็น Fandom ในปัจจุบัน 6.Combination หมายถึง การแปรสภาพให้ร่วมสมัยและร่วมกันก่อให้เกิดนวตกรรมใหม่ๆ ที่น่าสนใจลงตัว
7.customer คือ การหากลุ่มลูกค้า ผู้ชม ผู้ซื้อสินค้า ที่เกิด จาก soft power นั้นๆ 8.Classy หมายถึง กระบวนการทำให้ soft power ต้องมีรสนิยม มีระดับ
ปัจจุบันบริษัท Brand Finance ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาอิสระระดับโลกได้มีการจัดอันดับ Global Soft Power Index เป็นประจำทุกปี
โดยสำรวจความคิดเห็นประชากรโลกทางออนไลน์มากกว่า 100,000 คนใน 120 ประเทศ ในดัชนีด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ
1) ความคุ้นเคยต่อประเทศนั้น ๆ (Familiarity) 2) ความมีชื่อเสียง (Reputation) 3) ความมีอิทธิพลในด้านต่าง ๆ (Influence)
4) โครงสร้างของ Soft Power ใน 7 มิติ (7 Soft Power Pillars) เช่น ธุรกิจและการค้า ธรรมาภิบาล ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วัฒนธรรมและประเพณี สื่อและการสื่อสาร เป็นต้น
5) การตอบสนองต่อโควิด 19 (COVID-19 Response) ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนนดัชนีแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป
และจากการจัดอันดับ 120 ประเทศ ประเทศที่มี Soft Power ที่ทรงพลังที่สุดในโลกในปี 2565 อันดับที่ 1 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ในขณะที่เกาหลีใต้ อยู่ในอันดับที่ 12
ส่วนประเทศไทยแม้ว่าจะได้รับคะแนนประเมินที่สูงขึ้น แต่อันดับกลับตกลงจากลำดับที่ 33 ในปี 2564 เป็นอันดับที่ 35 ในปี 2565
..ถามว่า soft Power ไทย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างไร ก็ไปดูยอดขายยาดม, ยาหม่อง, ขนมขบเคี้ยว, กางเกงช้าง, ผลไม้และอาหารไทยสิครับ
เฉพาะสมุนไพรไทยในตลาดโลก มีมูลค่า 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (รายงานจาก Euromonitor International ปี 2565) ส่วนไทยเป็นอันดับ 8 ของโลก
มีมูลค่าตลาดสมุนไพรไทย Hearb และ traditional pro duct แบบที่แทรกในละคร “หมอหลวง” มีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ควรจะได้มากกว่านี้..
ผมอยากให้ soft Power ไทย ขยายตัวไปสู่ตลาดโลกมากๆและสร้างมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ แบบประเทศอื่นเค้าบ้างนะครับ”
ครับ..ขอฝากความหวังกับผู้นำกลิ่นความเจริญด้วยละกัน!