พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยย่อย โซนกรุงเทพกลางและตะวันออก นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. , นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัครกทม นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ประกอบด้วย ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง เขตเลือกตั้งที่ 1 เบอร์ 11 นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขตเลือกตั้งที่ 2 เบอร์ 11 นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 ทองคำ นางนฤมล รัตนาภิบาล เขตเลือกตั้งที่ 14 เบอร์ 5 นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8 นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ เขตเลือกตั้งที่ 16 เบอร์ 12 นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 นางนาถยา แดงบุหงา เขตเลือกตั้งที่ 19 เบอร์ 10 นาย บุญรุ่ง เต๋งจงดี เขตเลือกตั้งที่ 20 เบอร์ 1
ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า เวทีครั้งนี้ได้รวมเอาผู้สมัครของ 10 เขต มาพบกับพี่น้องประชาชน และยืนยันถึงนโยบายที่จะลดค่าครองชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน คนกทม. รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งในวันนี้ได้มีการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และได้พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจของกทม. เป็นสิ่งที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคได้ทำไว้
โดยเฉพาะโครงการบ้านมั่นคง ที่ทำไว้เป็นต้นแบบ ทั้งที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยผู้สมัครได้เสนอให้พรรคทำนโยบายให้ทุกชุมชน เพื่อที่จะได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งการทำโครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ
เนื่องจากมีความซ้ำซ้อนของพื้นที่ เพราะที่ดินบางแห่งเป็นที่ราชพัสดุ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือเป็นของเอกชน ดังนั้นการดำเนินโครงการนี้ จะให้เอกชน เป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการ ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยมีราคาไม่เกิน 500,000 บาท และมีสถาบันการเงินเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่าบ้าน เป็นเงินผ่อนได้บ้าน ทำให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีนโยบายการเสริมทักษะ อาชีพและเพิ่มช่องทางการค้าผ่านมือถือให้กับพี่น้องประชาชนมีช่องทางการค้าขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของพปชร. เช่นเดียวกับการทำนโยบาย บัตรสวัสดิการประชารัฐ จากเดิมที่ผู้ถือบัตรจะได้รับเงินอยู่ที่ 300 บาท ซึ่งพรรคจะเพิ่มให้เป็น 700 บาท และยังมีการประกันชีวิตอีก 200,000 บาท ดังนั้นขอฝากพี่น้องเลือก พลเอกประวิตร เบอร์ 37 ในบัตรสีเขียว ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และขอฝากผู้สมัครทั้ง 10 คนที่ขึ้นเวทีในวันนี้ด้วย
ทั้งนี้ผู้สมัครกทม. ได้สลับขึ้นเวทีเพื่อปราศรัย นำเสนอนโยบายในการดูแลพื้นที่กทม. ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และมีเป้าหมายที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ในแบบที่สอดรับกับปัญหา และความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง
โดย ดร. สฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัครเขต 1 กล่าว ว่า พปชร.มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทเพื่อให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งอาเซียน ตามนโยบายของพล.อ.ประวิตร ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่เรายังพบว่าการพัฒนาบางพื้นที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ โดย พปชร.เรามีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการส่งเสริมและสนับสนุนย่านเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ไม่เพียงทำให้เป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวแต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องที่นั้นๆ
ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 กล่าวว่า ในชุมชน ยังขาดเรื่องการส่งเสริมด้านสุขภาพ โดยเฉพาะหาพื้นที่ออกกำลังกายของคนในชุมชน เป็นเรื่องที่ควรผลักดัน ซึ่งได้มีการดำเนินการทำโครงการต้นแบบ เพราะมีพื้นที่ว่าง อีกเป็นจำนวนมาก แต่เป็นของหน่วยราชการ ซึ่งตนได้ประสานหน่วยงานทำลานกีฬาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้สุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้น และเรื่องความปลอดภัย การติดไฟส่องสว่างมีความจำเป็น เพราะพบว่าในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ยังเป็นจุดเสี่ยงภัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไฟส่องสว่าง จะเป็นการป้องปรามอาชญากรรมที่ได้ผล
นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 กล่าวว่า สิ่งที่อยากทำและมุ่งมั่นสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่ในครั้งนี้ คือต้องการให้พื้นที่ของห้วยขวาง มีบรรยากาศคึกคักและสีสัน โดยเน้นการทำพื้นที่ให้เป็น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างที่ทำกิน การทำพื้นที่ให้เป็น ครีเอทีพ มาร์เกต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสร้างสรรค์ ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกกับคนในชุมชน ทั้งถนน ทางเดินทางแคบ การดูแลสวนสาธาณะที่ขาดการดูแลงอยากเข้ามาประสานและแก้ไขพัฒนาทุกอย่างให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือเรื่องสุขภาพ อยากผลักดันด้านสาธารณสุข ให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว
นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8 กล่าวว่า ทันทีได้รับเลือกตั้ง จะผลักดันให้เกิดศูนย์สุขภาพจิต และดูแลความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่ม LGBT ให้เกิดความเท่าเทียมและทั่วถึงในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต เพราะเป็นบ่อเกิดของเหตุการณ์สูญเสีย โดยเฉพาะปัญหาการฆ่าตัวตาย หากทุกคนได้รับการดูแล ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญ ดูแลความปลอดภัยให้กับคนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นปัญหา ให้สามารถมีช่องทางในการรักษา หรือการบำบัด ได้อย่างสะดวก และอยู่ใกล้บ้าน
นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 กล่าวว่า ผมขออาสาเข้าทำงานให้คลองสามวา ลาดกระบัง ให้มีความทัดเทียม เทียบเท่ากับเมืองชั้นในเพราะที่ผ่านมา ได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อ ศิริพงษ์ รัสมี ที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ที่อดีตมีแต่สะพานไม้ ให้เป็นสะพานคอนกรีตเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และจะทำต่อเนื่อง ผมขอกอดคุณพ่อ นายศิริพงษ์ รัสมี เขต 17 เบอร์ 10 เขตหนองจอก เขตคลองสามวา เข้าสภาฯเพื่อทำหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน
ปิดท้ายด้วยนายสกลธี กล่าวว่า อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไรอยากเห็น เศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอร์รัปชั่น เห็นยาเสพติดระบาดทั่วเมือง และสถาบันหลักของชาติถูกนำมาล้อเลียน และนำไปพูดอย่างสนุกปาก หรืออยากเห็นคำว่าชาติที่ไม่ใช่ศูนย์รวมของคนไทยอีกต่อไป ทุกอย่างอยู่ในมือของทุกท่าน ในวันที่ 14 พ.ค.นี้
“การเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐ เรามีดีในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ศักยภาพของพวกเราไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองไหนแน่นอน ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าผู้สมัครของเราทั้ง 33 เขตและพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปทำงาน กทม.ต้องดีกว่านี้แน่นอน”นายสกลธี กล่าว
นายสกลธี กล่าวต่อว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรคพลังประชารัฐคือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน การก้าวข้ามมันก็มีเส้นแบ่งที่ก็คงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เช่นการไปรวมกับพรรคที่ไม่เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือพรรคที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติมันล่มจม ด้วยการแจกหว่าน เพราะนักวิชาการก็บอกชัดว่า นโยบายเช่นนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายอย่างแน่นอน พรรคการเมืองควรที่จะคิดนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่นโยบายที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทำลายประเทศชาติ ด้วยการบอกว่าจะยกเลิก ม.112 ตนไม่มั่นใจว่าการยกเลิกไปแล้วจะทำให้ประชาชนรวยขึ้นอย่างไร
“ขณะนี้มีวาทกรรมออกมาจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรค แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่าเรารักใครชอบพรรคไหนเราก็เลือกตามใจของเราไม่ต้องไปกังวลว่าจะเลือกคนนั้น แล้วคะแนนจะเสียเปล่า คะแนนจะตกน้ำ เพราะทุกคะแนนเสียงของประชาชนคือกำลังใจให้กับผู้สมัครและพรรคการเมือง ๆ ขอให้ทุกคนเลือกด้วยหัวใจ เลือกในสิ่งที่เราต้องการและเราอยากได้เป็นพอ”