ผักกาดหอม
เพิ่งจะเริ่มต้นซินะ
เห็นเขาแฉกันเรื่อง “เงินชั่ว” แฟนคลับทะเลาะกันลั่นโซเชียล
ฝั่งหนึ่งบอกว่า “ชูวิทย์” เน่าแน่
อีกฝั่งถล่มยับ “ทนายษิทรา” หิวแสง รับงานใครมา
ทัวร์ลงหนักมาก
ดูไปดูมา เพิ่งจะไหว้ครู ดรามาคู่นี้น่าจะยังอีกยาว
แต่ที่เห็นและพอจะสรุปประเด็นได้แล้ว คือทัศนคติอัปรีย์ “โกงไม่เป็นไรขอให้แบ่งกัน” ยังคงดำรงอยู่อย่างแข็งแรง
นั่งฟังข่าวทางทีวี พิธีกรบอกว่า “ชูวิทย์” เป็น “โรบินฮูด”
แทบสำลักกาแฟ!
ประเด็นรับเงินทุนสีเทา แล้วไปบริจาคให้โรงพยาบาล น้อยคนที่จะมีความคิดทำเช่นนี้
ส่วนใหญ่รับเงินสีเทาแล้วเข้ากระเป๋าตัวเองหมด
คนที่มีจริยธรรมหน่อย เงินสีเทากองอยู่ตรงหน้า เขาไม่รับครับ เพราะเงินมันร้อน จะเผาวายวอดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แต่คนไม่อยู่ในวงจรสีเทา ไม่มีทางได้เห็น เงินสีเทา
ฉะนั้นมองในเชิงปรากฏการณ์ทางสังคม ถือว่าน่าห่วงครับ
“ชูวิทย์” รับเงินสีเทามา แล้วเอาไปบริจาค
แทบไม่ต่างจากกรณีที่ “อุ๊งอิ๊ง” ปราศรัยว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย”
ตรรกะที่ไม่ปกตินี้ ล้วนชักนำผู้คนในสังคมห่างจากคำว่า จริยธรรม
เพราะมันคือ “โกงไม่เป็นไรขอให้แบ่งกัน”
โพสต์ ของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อ่านแล้วรู้สึกอึดอัด บอกไม่ถูก
“…เลือกเอาเองว่าจะยืนฝั่งไหน
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดงเพื่อไปหยุดยั้งคนชั่วที่กำลังไปปล้นธนาคาร
คุณชูวิทย์ ผิดครับที่ขับรถฝ่าไฟแดง
แต่ผมไม่ใช่คนที่จะออกมาด่าคุณชูวิทย์ ที่ขับรถฝ่าไฟแดง ผมเป็นเพียงคนเล็กๆ คนหนึ่งที่ออกมาขอบคุณ คุณชูวิทย์ที่ออกมาปกป้องการปล้นธนาคาร
โลกนี้ไม่มีใครดีพร้อมหรอกครับ แม้คุณที่กำลังอ่านอยู่ก็ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก หากเลือกจะด่าคนขับรถฝ่าไฟแดง ก็ขอให้คุณไปยืนฝั่งโน้น ส่วนผมเลือกที่จะยืนฝั่งชื่นชมการออกมาปกป้องการปล้นธนาคารของคุณชูวิทย์ และพร้อมที่จะควักเงินเสียค่าปรับ ๕๐๐ บาท เป็นค่าฝ่าไฟแดงให้คุณชูวิทย์
ชูวิทย์!!! คุณกำลังเล่นกับโจร คุณจะบิณฑบาตให้โจรเลิกปล้นธนาคาร คุณตายเปล่า ชีวิตผมเห็นตำรวจ เวลาไปจับโจร ก็ยิงโจร – ซ้อมโจรตายไปหลายคนแล้ว แต่ก็หยุดการทำผิดของโจรได้ คุณเป็นคนธรรมดา ทำได้แค่นี้ ใจคุณใหญ่มากแล้ว
เราล่ะ เราอยู่ฝั่งไหนในโลกใบนี้ เลือกเอาเอง และเราต้องพร้อมรับผลจากการเลือกของเรา
ชูวิทย์ ผมเลือกที่จะยืนฝั่งคุณ…”
เห็นด้วยครับว่า โลกนี้ไม่มีใครดีพร้อม
แต่โลกนี้มี คนเลว คนชั่ว และ คนดี คนที่ทำตามกติกา
การอธิบายว่า “ชูวิทย์” ขับรถฝ่าไฟแดงเพื่อไปหยุดคนปล้นธนาคาร มันก็ผิดโดยตัวมันเอง
สมมติ “ชูวิทย์” เป็นพระ เห็นผู้หญิงกำลังจะจมน้ำแล้วกระโดดลงไปช่วย อย่างนี้น่าจะตรงกับท้องเรื่องมากกว่า
หรือไม่ก็ อธิบายว่า “ชูวิทย์” กระโดดลงจากรถ ไปแจ้งตำรวจที่ป้อมตรงแยกไฟแดงว่า โจรกำลังปล้นธนาคาร แบบนี้สามารถยืนข้าง “ชูวิทย์” ได้อย่างสะดวกใจกว่า
ฉะนั้นในวันที่ “ชูวิทย์” รับเงินทุนสีเทา ถ้าจะให้พล็อตเรื่องมันถูกต้อง “ชูวิทย์” ต้องไปแจ้งตำรวจ จับพวกทุนสีเทา
อย่างน้อยๆ ก็เพื่อป้องกันตัวเองจากความชั่วร้ายของทุนสีเทา
ไม่ใช่รับไว้เอง แล้วเอาไปบริจาคโรงพยาบาลในภายหลัง
ตอนรับส่งเงินสีเทา ไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ยอดเงินเท่าไหร่
ขึ้นชื่อว่าเงินสีเทา มันเต็มไปด้วยความลึกลับอยู่แล้ว
เพราะจ่ายกันสดๆ ตามเส้นทางเงินไม่ได้
ทางโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ถึงต้องรีบคืนเงิน เพราะไม่อยากมีส่วนร่วมกับเงินสีเทา จากทุนสีเทา
ก็ไม่ยากที่จะแยกแยะว่า เงินแบบไหนควรหรือไม่ควรรับ
นี่คือภาพมุมกลับที่กองเชียร์ “ชูวิทย์” ต้องเก็บกลับไปคิดด้วย
สำหรับ “ชูวิทย์” หลังจากเป็นฝ่ายรุกมานับเดือน ถึงเวลาต้องเป็นฝ่ายรับบ้าง เพราะมีแนวโน้มจะไม่จบง่ายๆ
จากโพสต์ของ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด โซเชียลที่ว่าเดือด ก็ยิ่งทะลุจุดเดือดเข้าไปอีก
“…ชื่นมื่น ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมเดวิส และเป็นวันที่คนของสารวัตรซัว ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บหนึ่ง (คนซ้ายในรูป) เอาเงินไปให้พี่ชูวิทย์ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่มีแค่ตำรวจ ๒ คนอย่างที่พี่ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์
คนบนโต๊ะมีทั้งตำรวจระดับนายพล ๒ คน (ตามที่พี่บอกกับสังคม) เจ้าของเว็บ กล่องดวงใจ และพี่ชูวิทย์ นั่งเจรจากัน เรื่องเว็บไหนแตะได้ เว็บไหนแตะไม่ได้ และที่สำคัญตำรวจระดับนายพลที่พี่ชูวิทย์พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง คนนึงเกษียณแล้ว เป็นคนสนิทพี่ชูวิทย์เอง ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่อีกคนไม่ใช่ตำรวจแล้ว พี่พูดความจริงครึ่งเดียว คนนี้มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อกกันทั้งประเทศ ช็อกแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อกที่สองก็คือทำไมพี่ชูวิทย์ต้องปกปิด ผมว่าพี่ควรจะเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนะครับว่าคือใคร ถือว่าทำเพื่อชาติ เหมือนที่พี่พูดมาตลอด ผมจะได้เลิกคลางแคลงใจในตัวพี่ซะทีว่าเบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันต่างกันสิ้นเชิง?
แต่ถ้าพี่ไม่กล้าแฉ เพราะรับอะไรเค้ามาแล้วไม่เป็นไร อาทิตย์หน้าผมจะเปิดแทนพี่เอง แบบไม่มีกั๊ก ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงอะไรทั้งสิ้น…”
ที่ช็อกที่สุดน่าจะเป็นการเหยียบจมูก “ชูวิทย์”
ภาพถ่ายในโรงแรมเดวิส ไม่น่าจะบังเอิญถ่ายติด แต่ตั้งใจถ่ายเก็บไว้ จะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ วันนี้ “ทนายษิทรา” เอามาตั้งคำถามกับ “ชูวิทย์” แล้ว
แต่หากเป็นกล้องวงจรปิดของโรงแรม ยิ่งกว่าเหยียบหน้า “ชูวิทย์”
ส่วนเนื้อหาในโพสต์ “หนังยาว” แน่นอน
ก็รอดูกันต่อไปครับว่าจะจบลงแบบไหน แบบที่ “ชูวิทย์” เป็น “โรบินฮูด” ก็ถือว่า แฮปปี้เอนดิง แฟนคลับหลับฝันดี
แต่มันยังมีประเด็นให้หลับไม่ลงครับ
“ชูวิทย์” บอกว่าจะแฉ “เศรษฐา ทวีสิน” มาร่วมเดือนแล้ว
ถึงวันนี้ยังไม่แตะ
รอติดตามผลงานอยู่นะครับ