สันต์ สะตอแมน
อดีตนางเอกชื่อย่อ จ. แอบซื้อหนุ่มนอกวงการกิน!
นี่..คงไม่ได้ปูดข่าวขึ้นมากลบ “ข่าวรองนายกฯ แอบขโมยหอยเมียชาวบ้าน” นั่นดอกนะ เพราะล่าสุดเห็นข้อความจากผู้โพสต์ว่า..
“โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท
ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
ถ้าแบบนี้ ก็ยืนยันเป็นข่าวจริง และเมื่อเจ้าตัวยอมรับ “ซื้อหนุ่มกิน” จริง พร้อมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่วันนี้ก็วันพรุ่ง เราก็จะได้เห็นหน้าค่าตา..
อดีตนางเอกชื่อย่อ จ…เธอคือใคร?
แต่ระหว่างรอ ผมมีประเด็นต่อเนื่องจากการที่คุณไพโรจน์ สังวริบุตร ออกมาบีบน้ำตาวิงวอนให้คนช่วยไปดูหนังเรื่อง “วัยอลวน5” ไม่งั้นตัวเองต้องล้มละลายมาคุยเพิ่ม
ทั้งนี้ คุณบุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับภาพยนตร์ได้โพสต์.. “หนังไทย/วงการ/โรงหนัง/คนดู.. กรณีหนัง “วัยอลวน 5” ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าที่มีมานานแล้ว แต่ไม่เคยมีใครคิดแก้ไข
หนังไทยเข้าโรง โรงจัดรอบเอง เข้าวันแรกวันพฤหัส รอบเช้าเลย พอรอบเช้าไม่มีคนดู ตอนบ่าย โรงก็เปลี่ยนรอบลดรอบ ไม่มีการแจ้งเจ้าของหนัง
อาไพโรจน์ผู้กำกับและนักแสดงลุกขึ้นมาโพสต์อ้อนวอนขอให้สังคมช่วย เพราะอาเป็นดาราเก่า สังคมจึงกระเพื่อมเล็กน้อย โรงรับรู้
ก็เลยแก้ต่างด้วยการเพิ่มโรงให้นิดหน่อย พอแก้ขัดกับกระแสสังคม อาไพโรจน์ก็โพสต์อีก ขอให้คนไปช่วยดูหน่อย โรงเขาเพิ่มรอบเพิ่มโรงให้แล้ว
กระแสสังคมเห็นไปต่างๆ นานา บ้างบอกว่า น่าสงสาร ต้องช่วยกัน ไม่งั้นหนังไทยตายแน่ บ้างบอกว่า คนดูเขามีสิทธิ์เลือกนะ หนังไม่น่าดู ก็ไปบังคับไม่ได้
บ้างบอกว่า ถ้าหนังดีก็มีคนดูเองแหละ หนังดีไหมละ บางคนบอกช่างน่าสังเวชที่คนทำหนังมาอ้อนวอนคนดูให้ไปดูหนัง ก็มีความเห็นต่างๆ กันไปเป็นธรรมดา
ผมมองว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เรื่องแบบนี้ มีมานานมากแล้ว สมัยผมเอาหนัง “มหาลัยวัวชน” ออกฉายในเครือเมเจอร์ ก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน เพียงแต่ผมไม่ได้โพสต์อะไรเหมือนอาไพโรจน์
ได้แต่แค้นใจและเรียนรู้เป็นบทเรียน ต่อไปจะไม่ทำแบบเดิมอีก ผมว่า ก่อนหน้าผม ก็มีเหตุการณ์แบบเดียวกันกับหนังไทยเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องของระบบ ไม่ใช่เรื่องของเอกชนคนตัวเล็กตัวน้อย เป็นเรื่องที่สมาพันธ์ภาพยนตร์และสมาคมผู้กำกับ หรือองค์กรใดๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลหนังไทยต้องเข้ามาช่วยแก้ไข
และควรจะแก้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาตื่นเต้นกันตอนมีปัญหา
มองในมุมหนึ่ง ในฐานะคนทำหนัง ผมก็เห็นใจอาไพโรจน์และคนทำหนังหัวอกเดียวกัน และเกิดอารมณ์โกรธในความไม่ได้เรื่องขององค์กรดังกล่าว
แต่มองในมุมคนดู มันก็ถูกที่คนดูมีสิทธิ์เลือก บังคับกันไม่ได้ แต่ผมไม่เคยเห็นใจโรงหนัง เพราะมองว่า โรงหนังควรต้องมาร่วมรับผิดชอบและขับเคลื่อนวงการหนังไทย
ไม่ใช่จะทำตัวลอยอยู่เหนือปัญหา และขอแต่ให้สังคมเห็นใจเพราะมันคือธุรกิจ ผมมองว่า รัฐบาลและองค์กรเกี่ยวกับหนังไทยต้องมาช่วยเป็นคนแรก โดยไม่ต้องมีการร้องขอ
แต่ต้องมองการณ์ไกล และต้องทำเพื่อความยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากให้คนทำหนังร่วมด้วยช่วยกันลุกขึ้นมาเรียกร้องพื้นที่ฉายและสิทธิ์ที่พึงได้
แต่ก็นั่นแหละ คนทำหนังไม่เคยรวมตัวกันได้เลย ตรงกันข้าม ทุกคนต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเอาตัวรอด
ผมคิดถึงอนาคต สงสารคนรุ่นใหม่เรียนหนังรักหนัง เรียนจบพวกเขาก็อยากเข้าวงการหนังไทย แต่พอมองดูความจริง ก็พบว่า วงการหนังไทยไม่เคยมีอยู่จริง เรื่องนี้น่าเศร้ามาก
ผมยืนยันว่า กรณีอาไพโรจน์ และ ”วัยอลวน 5” ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่เรื่องหนังดีพอหรือไม่ดีพอ แต่เป็นเรื่องของระบบ ที่องค์กรในระบบต้องลุกขึ้นมาจัดการแก้ไข
อย่ามาโบ้ยให้คนทำหนังและคนดู ถ้าไม่แก้ไข หรือนิ่งดูดาย ก็ควรจะยุบทิ้งเสีย อย่ามีเสียดีกว่า!”
ครับ..ลงท้ายแรงไม่นิด แต่น่าคิดอยู่นะ!