ผักกาดหอม
หลายคนคงเที่ยวปีใหม่กันแล้ว
แต่ไม่ใช่ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
คอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ สร้างปัญหาให้ประเทศมานาน นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่มีรัฐบาลไหนบริหารประเทศเฉียดคำว่าโปร่งใสแม้รัฐบาลเดียว
บางรัฐบาล นายกรัฐมนตรีเป็นคนใจซื่อมือสะอาด แต่ในคณะรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีคดโกงร่วมอยู่ โดยที่นายกรัฐมนตรีทำอะไรได้ไม่มากนัก
เพราะโครงสร้างรัฐบาลประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค
ขาดเธอก็เหมือนขาดใจ ฉะนั้นนายกรัฐมนตรีบางคนจำต้องกัดฟันทน หากต้องการให้รัฐบาลอยู่รอดปลอดภัย
แต่หลายรัฐบาล นายกรัฐมนตรีก็นำโกงเสียเอง
แล้วแจกจ่ายผลประโยชน์กันในคณะรัฐมนตรี
เราผ่านมาหมดแล้ว
นั่นเป็นเหตุให้คอร์รัปชันซึมลึกเข้าไปในระดับดีเอ็นเอ
จึงไม่แปลกอะไร จู่ๆ จะมีข้าราชการระดับ “อธิบดี” ถูกจับคดีทุจริต เพราะยังมีข้าราชการอีกจำนวนไม่น้อย ร่วมฉ้อราษฎร์บังหลวงร่วมกับนักการเมือง
บางคนก็ฉายเดี่ยว
แต่ที่ประหลาดใจคือ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่พบเห็นบ่อยนัก เพราะปกติการคอร์รัปชันในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง มักจะสาวไม่ถึงต้นตอ
มีการตัดตอนกันอยู่บ่อยครั้ง
และครั้งนี้หากไม่ได้คนในก็ยากครับ ที่ข้าราชการระดับ “อธิบดี” จะติดกับดัก
เบื้องหลังก็เหมือนซีรีส์ในทีวี วางแผนซ้อนแผน
มีชื่อ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” เป็นพระเอก ร่วมกับพระรอง ตำรวจ บก.ปปป. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.
ส่องกันอยู่ครึ่งปี
ทั้ง แอบถ่าย แอบบันทึก บทสนทนาพูดคุย ระหว่างอธิบดีกับลูกน้องคนที่ถูกเรียกเงิน กำลัง ยื่นหมูยื่นแมว สุดท้ายได้หลักฐานเด็ด
เงินของกลางร่วมๆ ๕ ล้านบาท คาห้องทำงาน
“รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” จบเส้นทางการเป็นข้าราชการเพียงเท่านั้น
ก็น่าดีใจครับ ที่สามารถเพิ่มคดีคอร์รัปชันได้อีก ๑ คดี
แต่ในแง่มุมการปราบคอร์รัปชัน ยังคงมีคำถามอยู่
ทำไมข้าราชการ นักการเมือง ยังพร้อมที่จะโกงชาติกินเมืองกันอยู่ตลอดเวลา
กรณี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ไม่ได้ให้บทเรียนอะไรกับข้าราชการ นักการเมืองที่ตั้งหน้าตั้งตาโกงเลย
เพราะอะไร?
กฎหมายอ่อน
หรือสังคมไทยมันเป็นแบบนี้
โบราณว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน
นี่ก็ถือว่าร้อนฉ่าแล้ว
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (๒๙ ธันวาคม) มีความพยายามในการเสนอแนวทางปราบคอร์รัปชันกันอยู่เหมือนกัน
“พิสิฐ ลี้อาธรรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ หารือการแก้ปัญหาการเรียกรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หลัง “รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” ถูกจับกุม
“…การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกลายเป็นสินค้าซื้อขาย เป็นโควตาผู้มีอำนาจ ต้องจัดระบบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการให้ถูกต้อง เป็นธรรมและโปร่งใส กฎหมายปราบทุจริตต้องเข้มข้นมากกว่านี้ มีบทลงโทษรุนแรง
เช่น ประเทศจีนมีโทษสูงสุดประหารชีวิต
ขอเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา กำหนดโทษผู้เรียกรับทรัพย์หรือรับผลประโยชน์ จากเดิมจำคุกไม่เกิน ๕ ปี ปรับไม่เกิน ๑ แสนบาท
เป็น จำคุก ๑๕-๒๐ ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ปรับตั้งแต่ ๑-๔ แสนบาท
หรือมีโทษประหารชีวิต
และแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพิ่มเติม ให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ไม่เกี่ยวกับการทำความผิด รวมถึงแก้ไขกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา ๓๔ การให้รางวัลสินบนนำจับแก่ผู้แจ้งเบาะแสตามระเบียบ…”
โกงกันมากนัก จับประหารเสียเลยจะดีมั้ย
เดี๋ยวนักสิทธิมนุษยชนจะออกมาค้านอีก ว่าล้าหลัง โลกนี้เขาเลิกโทษประหารไปเกือบหมดแล้ว
มันก็เรื่องไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันนั่นแหละครับ
โทษเบา ก็โกงกันแบบไม่กลัวเกรง
พอโทษหนัก ก็บอกว่าแก้ปัญหาโกงไม่ได้
หนักหน่อยก็บอกว่า เป็นการละเมิดสิทธิในการมีชีวิต
ขนาดขายยาบ้ามีโทษประหาร แต่ก็ยังขายกันเกลื่อนเมือง
มันก็จริง เพิ่มโทษอาจแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ก็ปราบได้
คดียาเสพติด หากไม่มีโทษประหารก็คงขายกันเกลื่อนกว่านี้ เพียงแต่เราต้องรู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ถึงจะแก้ไขได้ถูกจุด
สังคมไทยในวันนี้อ่อนแอมาก
อ่อนแอเพราะความไร้ระเบียบวินัย
รู้แต่สิทธิของตัวเอง แต่ไม่รู้หน้าที่
เช่นพวกเอาแต่ด่า ภาษีกู แต่ก็ไม่เคยเสียภาษีให้ถูกต้อง
นักการเมืองหย่อนเบ็ด จนประชาชนเชื่อว่าโกงไม่เป็นไร ขอให้แบ่งกัน
ฉะนั้นหากพูดเรื่องแก้ปัญหาคอร์รัปชัน จะแก้กฎหมายไม่กี่มาตราคงไม่พอ
ต้องยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ
ต้องปฏิวัติ หรือปฏิรูป ไม่เช่นนั้นไม่มีทางแก้ไขแน่นอน
แต่มันก็ติดตรงจุดเริ่มต้น
ใครจะเริ่ม
เริ่มแล้วมีคนตามหรือไม่
จะให้เริ่มพร้อมกันทั้งประเทศ เพราะเป็นเรื่องของทุกคน มันดูเป็นนามธรรมไปหน่อย จับต้องยาก
ต้องเริ่มที่ “ผู้นำ”
ปีหน้าเลือกตั้งแล้วครับ ถ้าจะปราบโกงก็เลือกผู้นำให้ถูกคน
แต่ก็มีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น
จะมีแคนดิเดตนายกฯ ให้เลือกตามสเปกที่ต้องการหรือเปล่า
กลุ้มใจจริงๆ!