ผักกาดหอม
สงสัยจะแลนด์สไลด์จริงๆ
ทักษิณคิดเพื่อไทยทำตาม นโยบายกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลตเป็นจำนวนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ดังเป็นพลุแตก
พูดกันทั้งเมือง
ทัวร์ลง ด่ากันถึงโคตร
ประชานิยมสุดขั้ว
คนที่ชอบก็เฮลั่น หลังเลือกตั้งนอนอยู่บ้านรอรับเงินหมื่น
ในแง่การตลาด เปิดนโยบายออกมาแบบนี้ถือว่าได้ผล
๑ แคนดิเดตนายกฯ ๑ นโยบาย
“เศรษฐา ทวีสิน” แจกเงินหมื่น
“ชัยเกษม นิติสิริ” ปราบรัฐประหาร
๒ นโยบายนี้ ทำได้จริงหรือเปล่า?
กระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลต ตามคำอธิบายของพรรคเพื่อไทย คือจะแจกเงิน คนที่มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป
มีคนเข้าข่ายประมาณ ๕๐ ล้านคน
ใช้งบประมาณกว่า ๕ แสนล้านบาท
คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ช่วงไตรมาส ๓ หากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งจะเริ่มได้ประมาณวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗
ระยะเวลาใช้ภายใน ๖ เดือนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ให้ใช้ได้ในรัศมี ๔ กิโลเมตร
คร่าวๆ ก็ประมาณนี้
คำถามที่ทุกคนอยากจะถามคือ เอาเงินมาจากไหน
งบประมาณปี ๒๕๖๗ ที่ตั้งไว้ ๓.๓๕ ล้านล้านบาท
๕ แสนล้านก็เท่ากับ ๑ ใน ๖ ของงบประมาณแผ่นดิน
โครงการเดียวของพรรคเพื่อไทย ใช้เงินมากมายขนาดนี้ แล้วโครงการอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินเหมือนกัน
จะเอาเงินมาจากไหน
ฟัง “เศรษฐา” บ่นพึมพำแล้วอดคิดถึงอนาคตของประเทศไทยไม่ได้
“นโยบายนี้จะทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น นี่จะตอบคำถามได้ว่าเงินมาจากไหน ยืนยันว่าเม็ดเงินมาจากการจัดสรรงบประมาณ การจัดเก็บภาษี VAT ที่ได้เพิ่มมากขึ้น และการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล รวมทั้งสวัสดิการรัฐที่ลดน้อยลง
ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าประชานิยมสุดโต่ง แต่เป็นความจำเป็นและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่ต้องการการช่วยเหลือเวลานี้”
ยอมรับว่างง! กับการเรียงลำดับเหตุการณ์ของ “เศรษฐา” ว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง
ตีความคำพูด “เศรษฐา” ก็ประมาณว่า แจกเงิน ๕๐ล้านคน หัวละ ๑ หมื่นบาท จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น ไปตัดบัตรสวัสดิการของรัฐบาลลุงตู่ออก ก็จะได้เงินมากพอมาทำตามนโยบายแจกเงินหัวละหมื่น
คือ…งูกินหางครับ
ตกลงจะเริ่มตรงไหนก่อน
ดูตามไทม์ไลน์ที่พรรคเพื่อไทยโม้เอาไว้ว่าสามารถเริ่มได้ต้นปี ๒๕๖๗ ที่มาของเงินมีทางเดียวคือ “กู้”
จะไปขูดเอางบประมาณจากส่วนราชการอื่นได้อย่างไรให้ได้ ๕ แสนล้าน
จะเก็บภาษีเพิ่มอย่างไร ในเมื่อโครงสร้างภาษียังเหมือนเดิม
อีกอย่างเศรษฐกิจเพิ่งจะฟื้นตัว จะเก็บภาษีได้เพิ่มถึง ๕ แสนล้านหรือ
ฉิบหายจากจำนำข้าว เป็นภาระรัฐบาลลุงตู่ต้องตั้งงบประมาณชดเชยกี่แสนล้าน
นี่ยังจะเพิ่มภาระอีก ๕ แสนล้านหรือ
ถามว่านโยบายนี้จำเป็นหรือเปล่า
ที่จริงก็ลอก แอปเป๋าตังของรัฐบาลลุงตู่นั่นแหละครับ แต่หน้าบาง เรียกกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลตแทน หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลประชาชนต้องเตรียมโหลดแอปใหม่แทนแอปเป๋าตัง
แต่ที่ต่างจากรัฐบาลลุงตู่คือ นโยบายแจกคนละครึ่ง ผ่าน แอปเป๋าตัง มันเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง ที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-๑๙
ประชาชนตกงาน ไม่มีเงินใช้ รัฐบาลลุงตู่ถึงต้องแจกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่รัฐบาลหน้าซึ่งจะเข้ามาบริหารประเทศในอีกไม่เกินเดือนสิงหาคมนับจากนี้ เข้ามาในสถานการณ์ที่ต่างออกไป
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ในภาวะแบบนี้การบริหารประเทศต้องต่างออกไป
แทนที่จะให้เปล่าหัวละหมื่นบาท ตั้งแต่เศรษฐี ยันยาจก เปลี่ยนเป็นให้เงินลงทุนหัวละหมื่นบาท สำหรับผู้มีรายได้น้อย จะเข้ากับสถานการณ์มากกว่า
แถมยังใช้งบประมาณน้อยกว่า ๕ แสนล้านมาก
แต่…เพราะหาเสียงเลือกตั้งไงครับ พรรคเพื่อไทยทำทุกวิถีทางเพื่อให้แลนด์สไลด์บรรลุเป้าหมายให้ได้ ที่เหลือก็ไปลุ้นเอา
สงสารประเทศไทยครับ
อีกนโยบาย “ชัยเกษม นิติสิริ” นำเสนอวิธีปราบรัฐประหาร
“…เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ต้องมาจากการเลือกของประชาชน และต้องมีมาตราสำหรับการป้องกันรัฐประหารให้เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ไม่มีกำหนดอายุความ ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยได้เสนอไว้ เพื่อให้รัฐธรรมนูญของไทยตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจอีก…”
เล่นขายของหรือครับ!
เวลารัฐประหารเขาฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
รัฐธรรมนูญที่ท่านบอกว่าให้คณะรัฐประหารเป็นกบฏมันกลายเป็นเศษกระดาษในถังขยะไปแล้ว
ไม่มีสภาพการบังคับใช้
“ชัยเกษม” เป็นนักกฎหมายก็รู้ดี ต่อให้เขียนรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐประหารเป็นกบฏมาร้อยฉบับ เมื่อถูกฉีกทั้งร้อยฉบับ มันก็บังคับใช้ไม่ได้
แก้รัฐประหาร มันต้องแก้ที่สันดานนักการเมืองก่อน
ตราบใดที่ยังแก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้ โอกาสเกิดรัฐประหารก็ยังมี
ฉะนั้นรัฐประหารคือปลายเหตุครับ
คอร์รัปชันต่างหาก ที่จุดชนวนความขัดแย้งต่อเนื่องยาวนานมาถึงวันนี้
แล้วมีพรรคการเมืองไหนชูนโยบายปราบคอร์รัปชันเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงเลือกตั้งแล้วหรือยัง
ก็ยัง!
มีแต่ตัวเลข ๗๐๐ บ้าง ๒,๐๐๐ บ้าง ยัน ๑๐,๐๐๐
นักการเมืองเอาสะดวก หาเสียงแจกเงิน เรื่องเฉพาะหน้าทั้งนั้น
ประชาชนก็เลือกเอาผลประโยชน์เฉพาะหน้า
ประเทศไทยก็กลายเป็นประเทศเฉพาะหน้า ไม่มีใครวางแผนพัฒนาประเทศระยะยาวกันแล้ว
จะอยู่กันแบบนี้หรือ?