“สงวน” อัดสภายุค “ชวน” เสื่อมหนักพวกมากลากไปไม่ยึดหลักการ ชี้ “ระบอบประยุทธ์” ทำอภิสิทธิ์ชนเฟื่องฟู ไม่เคารพกฎหมาย ไม่ยึดหลักรัฐธรรมนูญและไม่เห็นหัวประชาชน
นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีที่สภาล่มบ่อยเกิดมาจาก การประสานงานวิปฝ่ายรัฐบาลที่ล้มเหลว ไม่สามารถควบคุมเสียงส.ส.ในสภาได้ ทั้งนี้กติกาที่ทราบกันคือฝ่ายรัฐบาล คือฝ่ายที่มีเสียงข้างมากในสภา รวมทั้งฝ่ายที่มีเสียงข้างมาก ก็จะเป็นฝ่ายที่ได้นั่งในตำแหน่งของฝ่ายบริหารด้วย แต่ตลอดเวลา 8 ปีพบว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยให้ความสำคัญกับ การประชุมสภาแต่อย่างใด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลเอกประยุทธ์ เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศโดยการยึด อำนาจเข้ามา จึงไม่ให้ความสำคัญกับนักการเมือง เพราะพลเอกประยุทธ์ติดว่าตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเป็นรัฐบาลที่มาจากอำนาจพิเศษ
ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จึงไม่สนใจงานในสภา รวมทั้งต้องมาบริหารสภาด้วยไม่ใช่ บริหารประเทศเพียงอย่างเดียว การที่สภาล่มรายสัปดาห์สะท้อนถึงความล้มเหลวของการแก้ปัญหา ตลอดจนการบริหารประเทศที่ไร้ทิศทางที่ชัดเจน
นายสงวน กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญคือ “ระบอบประยุทธ์” เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชนมากมาย ไม่เคารพกฎหมาย ไม่ปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญและไม่บริหารสภา จะเห็นได้ว่าการกู้เงินตามพระราชกำหนดกู้เงิน จำนวน 1.5 ล้านล้าน ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญกำหนดว่ารัฐบาลต้องมารายงานการใช้จ่ายเงินกู้ว่าเอาไปทำอะไร เกิดประโยชน์อย่างไรกับประชาชน แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่ให้ความสำคัญกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญส่วนสภาเองก็เกรงใจรัฐบาล จึงไม่บังคับให้ ต้องมารายงานต่อสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
“ในขณะที่การทำงานในสภาก็เป็นไปอย่างประหลาดมาก เป็นรูปแบบเผด็จการรัฐสภา พวกมากลากไป อาทิการลงมติหากฝ่ายรัฐบาลไม่พอใจก็ สามารถลงคะแนนใหม่ได้ ทั้งๆที่ตามข้อบังคับการประชุมทำไม่ได้ เพราะข้อบังคับการประชุมกำหนดไว้หากคะแนนไม่ถึง แพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ แต่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ไม่ยึดกติกา ไม่ทำตามข้อบังคับใช้เสียงข้างมาก ลากไป ขอลงมติใหม่ได้ ทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ไม่สนใจ
อย่างกรณีการลงมติในมาตรา 9/1 ของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ….. ทั้งๆ ที่ตามหลักแล้วหากองค์ประชุมไม่ครบ การลงมติใหม่ก็ไม่สามารถลงมติได้ ทั้งนี้เมื่อมีการลงมติไปแล้ว ผลที่ออกมาคือฝ่ายรัฐบาลแพ้แต่ไม่ยอมจะนับใหม่
ทั้งนี้ นายชวนในฐานะประธานรัฐสภา ต้องยึดมั่นในหลักการ อย่าเป็นไม้หลักปักเลน ต้องเป็นกลางจะเอาใจรัฐบาลอย่างออกนอกหน้ามันไม่เหมาะสม” นายสงวน กล่าว