ฝากคิด “เดือนพฤษภา.” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ประชาธิปัตย์ “ไม่นิ่ง”
ก็พลอยทำให้ “รัฐบาล” ไม่นิ่ง ไปด้วย!

เดือนพฤษภา.ที่พูดกันว่าเป็น ๑ ใน ๓ เดือนต่อจากนี้ ที่อาจมีเหตุให้ “อกสั่นหวั่นไหว” ซึ่งบอกไม่ได้ว่า ด้วยเรื่องใดนั้น
น่า “ลุ้นระทึก” ขึ้นมาทันที!
แต่ยังไงก็ไม่ใช่เรื่อง “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ของฝ่ายค้านแน่ เพราะนั่น นอกจากไม่มีราคาแล้ว
ยังเห็นฝ่ายค้านบอกเมื่อวาน (๒๖ เมย.๖๕) รอให้ร่างพรบ.ลูก ๒ ฉบับ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่อยู่ในชั้นกรรมาธิการแปรญัตติ ผ่านสภาวาระ ๓ ก่อน ค่อยยื่น

ขืนยื่นก่อน ถ้ามีเหตุให้ต้อง “ยุบสภา” ที่หมายมั่นปั้นมือว่าเลือกตั้งแล้วจะแลนด์สไลด์
“อดแดก” เลย!

เพราะยุบสภา กฎหมายที่คาอยู่ทั้งหมด “แท้ง” ทันที!

ก็หมายความว่า “กรกฏา” ไปแล้วโน่นแหละ ที่ฝ่ายค้านถึงจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
แต่พอถึงสิงหา.มีเรื่องคั่นอีก

ประเด็น “เป็นนายกฯ ต่อเนื่อง “ครบ ๘ ปีแล้ว อยู่ต่อไม่ได้ ฝ่ายค้านจะต้องสวม “แว่นตาแม้ว” อ่านรัฐธรรมนูญ แล้วยื่นให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความจนได้

แต่เชื่อนักกฎหมายสำนัก “ดอนหอยหลอด” อย่างผมเถอะ ๑๐๐ บาท เอาขี้หมาให้ไอ้เแม้วอมก้อนเดียว
“ผ่าน….”

ไม่ผ่านเฉยๆ เลือกตั้งใหม่ “ลุงตู่” ยัง “เป็นต่อ” อีกสมัย กวนตีนคนแดนไกลเล่น ที่อำมหิต “ส่งลูกสาวมาตาย” ในสนามการเมือง ทั้งที่ลูกเพิ่งหย่านมแม่หมาดๆ!

สรุปความก็คือ จากเดือนพฤษภา.ไปถึงเดือนพฤศจิกาเรื่องที่น่า “ลุ้นระทึก” เป็นได้ทั้ง “เรื่องดี” และ “เรื่องร้าย”
เหตุไม่ได้มาจาก “หมาเห่าใบตองแห้ง” แน่

แต่จะมาจาก “อะไร-แบบไหน” ชนิดปุบปับ มันมีเสน่ห์ชวนให้ติดตามลุ้นตรงนี้แหละ

ถ้าว่าไปตามปฏิทินงานบ้าน-งานเมือง เดือนพฤศจิกา.ไทยเป็นเจ้าภาพ “ประชุมเอเปก”
ผู้นำชาติสมาชิก ๒๑ เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีทั้งท่านประธานาธิบดี โจ ไบเดน-สหรัฐฯ, ท่านประธานาธิบดี ปูติน-รัสเซีย, และท่านประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง-จีน จะมารวมกันอยู่ที่ประเทศไทยพร้อมหน้า

แต่ด้วยภาวะ “โลกลอกคราบ” ซึ่งอยู่ในช่วงแบ่งข้าง-แบ่งฝ่าย แต่ละวัน แต่ละเดือน เจาะจง-มั่นหมายอะไรตายตัวลงไปล่วงหน้า แทบไม่ได้เลย!

ด้วยความไม่แน่นอนสังคมโลกไม่นิ่งขณะนี้ การเมืองภายในของเรา ประเด็นเพื่อไทยกระสันไม่เลือกฤดูกาล ที่จะ “ชิงอำนาจ” รัฐบาล ชนิดไม่ลืมหู-ลืมตาดูโลก นั้น
ไม่มีความหมายเท่าไหร่!

องค์รวม “การเมืองโลก” นั่นแหละ มันส่งแรงสะเทือนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ประชาติ ซึ่งไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ ที่ไหน ตอนไหน มันจะทำให้
“ปลาวาฬ” พลิกตัว!?

ในความที่ “ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง”
การที่นายกฯ จะ “คว่ำกระถางน้ำข้าว” ก่อนถึงเอเปก มันทั้งเป็นได้และเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คุณหมาๆ ทั้งหลาย ไม่ต้องพันแข้ง-พันขาให้วุ่นวายไป

ปีนี้ เวลาที่เหลือ
ให้นายกฯ มีสมาธิและกำลังใจ ทำหน้าที่ “คุมบังเหียนประเทศ” ภาวะหน้าเหว ที่คนภายนอกมองไม่เห็น ให้รอดไปก่อนเถอะ

ขอให้เห็นแก่ประเทศชาติมากกว่าเห็นแก่แม้วให้โลกสรรเสริญซักตั้งเถอะคุณเพื่อไทย

อดกลั้น-อดอยาก แต่งตัวรอไปเลือกตั้งใหญ่กันต้นปี ๒๕๖๖ โน่นแหละ งามพร้อม

ช่วงนี้ ขอแรงท่านหัวหน้าครอบครัว นำลูกบ้านทำสมาธิ “ยุบหนอ-พองหนอ” ไปก่อน
หลังเอเปก ผมเชื่อ ท่านนายกฯ “ยุบสภาหนอ” แน่!

ปีนี้ “ปีขาล” เสือ
ปีหน้า “ปีเถาะ” กระต่าย

๖๕ คาบเกี่ยว ๖๖ เสือกับกระต่ายคู่กัน ต้องไปด้วยกัน แล้วชาติบ้านเมืองจะรอด สู่รุ่งเรือง

ฉะนั้น ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล จงอดทน-อดกลั้นเพื่อสถานการณ์รวม อดออม-ถนอมใจ เอาชาติบ้านเมืองให้พ้นวิกฤติก่อน

ถ้าไม่ช่วยกันรักษาบ้านเมืองให้รอดก่อน แล้วจะเอาประเทศชาติที่ไหนมาให้ช่วงชิงอำนาจกันล่ะ?
ทำไมผมจึงบอกว่า “ปีเสือกับปีกระต่าย” ถ้าประคับประคองกันไปแล้วจะรุ่ง

เพราะหมาไม่เคยกัดผม เพราะผม “เดินตามหลัง” ผู้ใหญ่!
ลองอ่านดูก็ได้
…………………………

นายก รมต.โจวเอินไหล ของจีน
รากของ…คนจีน

ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งที่กรุงปักกิ่งของนายกรมต.โจว เอินไหล ชาวจีนกลุ่มหนึ่ง มาร่วมงานในฐานะเจ้าบ้าน คณะแขกในงานคือ ชนชั้นสูงที่ส่วนใหญ่เป็นวงศาคณาญาติของเครือราชวงศ์ในแถบประเทศยุโรป

แขกทุกคน ล้วนมีการศึกษาสูง และกิริยามารยาทในสังคมดีเลิศทั้งนั้น

แต่เบื้องหลังแต่ละคน ล้วนซ่อนความหยิ่งยโสไว้เกือบทุกคน อาจเป็นเพราะงานคืนนั้น เป็นงานเลี้ยงส่งคณะผู้มาเยือนเป็นคืนสุดท้าย

แต่ละคนอาจดื่มหนักไปหน่อยเลยพูดจาค่อนข้างปล่อยวางตามอำเภอใจ
และแล้ว ก็มีฝรั่งท่านหนึ่ง ลุกขึ้นยืน แล้วถามว่า

“ขอทราบเหตุผลหน่อย ทำไมปีนักษัตร ๑๒ ราศีของจีน จึงมีแต่พวกหมู หมา กา ไก่ มาเป็นตัวสัญลักษณ์
ไม่เห็นจะเหมือนของพวกเราเลย ล้วนฟังดูดี มีสกุล เช่น กลุ่มดาวคนยิงธนู กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวแมงป่อง
ไม่รู้บรรพบุรุษพวกคุณ เอาส่วนไหนของร่างกายมาคิดตั้งราศีบ้านๆ พวกนี้ออกมา?”

พอพูดจบ ก็เป็นเสียงฮาเฮของเหล่าฝรั่งหัวแดง พร้อมชนแก้วดื่มกันสนั่นหวั่นไหว ความเป็นผู้ดีหายไปในชั่วพริบตา
เมื่อถูกเขาเจริญพรถึงบรรพบุรุษกันขนาดนี้ จะเถียงเขาอย่างไรดี จะทุบโต๊ะแสดงความไม่พอใจก็ย่อมจะทำได้ แต่อาจเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน ต่างคนต่างยังเก็บความเคืองแค้นด้วยความเงียบ

แต่แล้วก็มีชาวจีนท่านหนึ่ง ลุกขึ้นยืน แล้วใช้น้ำเสียงอันราบเรียบที่สุภาพพูดขึ้นว่า

“ท่านทั้งหลาย บรรพบุรุษของพวกเรามักยืนอยู่บนฐานแห่งความเป็นจริง ปีราศีของพวกเราจับกันเป็นคู่ๆ หมุนเวียนกันหกรอบ แสดงถึงความหวังและความต้องการของบรรพบุรุษของเราที่มีต่อพวกเราทุกคน”

ในเวลานั้น เสียงฮาเฮเริ่มค่อยๆ เบาบางลง แต่สีหน้าของชาวต่างชาติแทบทุกคนยังคงแฝงไว้ด้วยแววตาที่เย้ยหยัน

“ราศีคู่แรก คือหนูและวัว หนูคือ ตัวแทนของความเฉลียวฉลาด วัวคือ สัญลักษณ์ของความขยัน
หากคนเราฉลาด แต่ขี้เกียจ ก็ไปไม่ได้ไกล
แต่ถ้าขยันแล้ว แต่ไร้หัวคิด ก็กลายเป็นไอ้โง่

สองสิ่งนี้ ต้องบวกกันเป็นหนึ่ง ก็คือคนฉลาดที่ขยัน นั่นคือสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่บรรพบุรุษคาดหวังในตัวพวกเรา”

“คู่ที่สองคือเสือและกระต่าย เสือ มีความกล้าหาญเต็มร้อย กระต่าย มีความระมัดระวังเป็นคุณสมบัติประจำตัว
ความกล้าบวกกับความระมัดระวัง ถึงจะเรียกว่าคนใจถึง แต่รอบคอบ

หากมีแต่ความกล้า มันคือ ความมุทะลุ
หากมีแต่ความระแวดระวังเกินกว่าเหตุ มันคือความขี้ขลาด”

คนจีนผู้นั้น มองกลุ่มฝรั่งนิดนึง แล้วพูดต่อ เพื่อรักษามารยาทอันดีงาม
“บางครั้ง อาจเห็นพวกเรามักนิ่งเงียบ คงจะกำลังครุ่นคิด จงอย่าเข้าใจว่าพวกเราไม่มีความกล้าซ่อนอยู่”

“คู่ที่สามคือมังกรและงู (งูใหญ่และงูเล็กของไทย) มังกรคือความแข็งแกร่ง งูคือ ความพริ้วไหว ชีวิตที่แข็งทื่อเกินไปอาจต้องเผชิญกับการแตกหัก

“ยอมหักไม่ยอมงอ” จึงอาจไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป แต่พลิ้วไหวไป ก็ไร้จุดยืน เพราะฉะนั้น ในความแข็งแกร่ง ต้องมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ ผู้ใหญ่ท่านสอนไว้แบบนี้”

“ชุดต่อไปคือ ม้าและแพะ ม้า มุ่งตะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว แพะ คือ สัญลักษณ์ของความอ่อนโยน
หากคนเราเอาแต่ลุยไปข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง คงต้องกระทบกระทั่งเขาไปทั่ว หนทางสู่จุดหมายปลายทาง คงทุลักทุเลน่าดู

แต่ถ้ามีแต่ความอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย สุดท้ายต้องหลงทางแน่นอน สองสิ่งนี้ ต้องรวมกัน เส้นทางสู่จุดหมายจึงจะราบเรียบ”

“คู่ต่อไปคือ ลิงกับไก่ ลิง มีความว่องไว ไก่ ขันตามเวลาทุกเช้า มันคือความแน่นอน ความว่องไว ที่ปราศจากความแน่นอน เขาเรียกว่าความวุ่นวาย

ความแน่นอน แต่เชื่องช้าเกินเหตุ อันนี้ชีวิตอับเฉา ไร้รสชาติ ชีวิตต้องดำเนินไปด้วยความสมดุลย์ของสองสิ่งนี้ แล้วชีวิตจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”

“คู่สุดท้ายคือสุนัขและสุกร สุนัข มีความซื่อสัตย์สูงสุด สุกรว่านอนสอนง่ายที่สุด
คนเรา ถ้าซื่อตรงจนเกินไป ไม่รู้จักผ่อนกฏผ่อนเกณฑ์กันบ้าง จะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเครียดเกินเหตุ

แต่หากหัวอ่อนไป ก็จะไม่มีบรรทัดฐานของตัวเอง ลู่ไปตามลม คงไม่ดีแน่ แต่การรวมกันของสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ความสมดุลจะเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา”

พออธิบายที่มาของสิบสองราศีจนครบถ้วน ชาวจีนผู้นั้นจึงถามชาวยุโรปว่า
“คงต้องขอทราบว่า สิบสองราศีของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดาวแมงป่อง คนแบกหม้อ คนยิงธนู มีความหมายต้องการจะสื่ออะไรหรือเปล่า

แล้วที่บรรพบุรุษพวกคุณคัดสรรพวกนี้ออกมา ต้องการหรือคาดหวังอะไรจากพวกคุณบ้าง ช่วยชี้แนะด้วยครับ”

มีแต่ความเงียบ……
ไม่มีคำตอบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจแรงๆ

ชาวจีนที่อาสาเป็นผู้อธิบายถึงความหมายและที่มาของสิบสองราศีท่านนี้ ก็คืออดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศจีน ที่ชื่อว่า “โจว เอิน ไหล”

“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียงมา
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
https://www.winnews.tv/news/21556
…………………………

ครับ…..
ขอท่านผู้รักชาติและชังชาติ รวมทั้งท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
คิดและใคร่ครวญตามนี้ด้วยเถิด

-เปลว สีเงิน
๒๗ เมย.๖๕


Written By
More from plew
“เหรียญทองที่เหนือทอง” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน คนจริง “เพื่อบ้านเพื่อเมือง” มีมาก แต่คนหนึ่งที่ผมต้องยอมรับนับถือทั้งกายและใจคือ “ไอ้ตี๋หัวลำโพง” คนนั้น เมื่อ ๖๐ ปีก่อน เรียกกันว่า...
Read More
0 replies on “ฝากคิด “เดือนพฤษภา.” – เปลว สีเงิน”