ผักกาดหอม
ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์
แค่ตอกย้ำว่า “เพื่อไทย” เป็นสมบัติของตระกูลชินวัตร
วานนี้ (๒๐ มีนาคม) พรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรม “ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม” ที่อุดรธานี เมืองหลวงคนเสื้อแดง
ไฮไลต์ของงานอยู่ที่ การประกาศตัว “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” เป็นผู้มีบารมีเหนือหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ
เพราะเท่าที่สดับตรับฟัง พรรคเพื่อไทย คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเพื่อไทย
ครอบครัวเพื่อไทย ใหญ่ กว่า พรรคเพื่อไทย
และการวางตำแหน่งให้ “อุ๊งอิ๊ง” มีความชัดเจนขึ้นทั้งใน “ภาพ” และ “อำนาจ”
ทำไมต้องมีครอบครัวเพื่อไทย?
“ชลน่าน ศรีแก้ว” เฉลยคำตอบ
“…ผู้นำของเราต้องมีสิ่งที่รวบรวม หลอมรวมพวกเราเป็นหนึ่งได้ ในครอบครัวเพื่อไทย ไม่ใช่ผู้นำที่มีความเกรี้ยวกราด ไม่เอื้ออาทรต่อใคร
แต่เราต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง มีจิตใจเอื้ออาทร ต่อญาติมิตร ด้วยข้อจำกัดกฎหมาย ที่มีเจตนาปิดกั้นความเป็นสมาชิก แต่เราไม่สนใจ จะมาสร้างครอบครัวเพื่อไทย บ้านหลังใหญ่หัวใจเดิม
การเมืองภาคประชาชนจะไม่เดินอย่างโดดเดี่ยว เพราะพรรคเพื่อไทย…”
นี่คือการเลี่ยงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่กำหนดให้สมาชิกพรรคการเมือง ต้องเสียค่าสมาชิก ๒๐๐ บาท ต่อปี
การมาในรูปแบบสมาชิกครอบครัว ไม่มีกฎหมายกำหนด ให้ต้องเสียค่าสมาชิก ซึ่งพรรคเพื่อไทยเรียกว่า “นวัตกรรมการเมืองภาคพลเมือง”
ทำไมกฎหมายต้องกำหนดให้เก็บค่าสมาชิก
กฎหมายต้องการให้ประชาชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของพรรคการเมือง และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของพรรค
รวมไปถึงการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายของพรรค
แนวทางนี้จะเป็นการแก้ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจภายในพรรค
และยังมีข้อดีจะช่วยลดการซื้อเสียง เพราะเมื่อพรรคไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณการหาเสียงหรือซื้อเสียง ก็ทำให้พรรคไม่จำเป็นต้องหาเงินมาเป็นจำนวนมากเพื่อการนี้
ก็คือลดการคอร์รัปชัน
ฉะนั้นคำตอบจาก “ชลน่าน ศรีแก้ว” ล้วนย้อนแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อไปดูคำพูดอีกตอนหนึ่งซึ่งระบุว่า
“…เราโชคดีได้สายเลือดพันธุกรรม ผู้ที่มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ที่ต้องการแก้ปัญหาให้พี่น้อง ต้องการสร้างโอกาสให้ลูกหลาน นำพาประเทศให้มีที่ยืนในอารยประเทศให้เป็นที่ยอมรับ แต่ก็ถูกกลั่นแกล้ง ทำลาย แม้แผ่นดินแม่ ก็ไม่ได้อยู่
แต่เราก็มีความภาคภูมิใจขอประกาศว่า ผู้นำครอบครัวเพื่อไทย เป็นสายเลือด เป็นดีเอ็นเอ ของคนที่มีเจตนาที่จะสร้างบ้าน สร้างเมืองนี้ ในนามของพรรคไทยรักไทย เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมเพื่อไทย ภูมิใจครับ
หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร…”
เป็นการสารภาพว่า ครอบครัวเพื่อไทย คือ ดีเอ็นเอ ของตระกูลชินวัตร และ ทักษิณ
นี่หรือคือนวัตกรรมการเมือง!
ถึงบอกว่าไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ เพื่อไทยยังไม่ใช่พรรคของประชาชน
ที่น่าอดสูคือ เวที ของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ เต็มไปด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง
จากปากของ “สุทิน คลังแสง”
“…สมัยพรรคไทยรักไทย มีนโยบายต่างๆ จนชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส. ๒๔๘ ที่นั่ง ได้ตั้งรัฐบาลโดยมีท่านทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดวลีประชาธิปไตยกินได้ ทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ เป็นรัฐบาลที่อยู่ครบ ๔ ปี ในประวัติศาสตร์ไทย
จากนั้นเมื่อเลือกตั้งอีกครั้งใน ๔ ปีให้หลัง เรายังได้ ส.ส. ๓๗๗ ที่นั่ง ตั้งพรรคการเมืองพรรคเดียว
ถือว่าท่านทักษิณ เป็นผู้นำที่สง่างามในเวที ได้รับการยอมรับทั้งเอเชียและเวทีนานาชาติ ทำให้ประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย และวันนี้ประเทศกลับเป็นหมาตัวที่ ๑ ของเอเชีย…”
ครับ…ตัวเลขจำนวน ส.ส. ถือว่าถูกต้อง แต่การกำเนิดของพรรคไทยรักไทย ก็อย่างที่ทราบ มาจากการควบรวมพรรคการเมือง และดูด ส.ส.
เริ่มต้นด้วยทุนมหาศาล
รัฐบาลทักษิณจึงไปจบลงที่การถอนทุนคืน
ประชาธิปไตยที่กินได้ แค่วาทกรรมการเมือง แต่เนื้อในคือ การใช้อำนาจแบ่งปันผลประโยชน์ เป็นที่มาของผลโพลอันลือลั่น
โกงไม่เป็นไรขอให้แบ่งกัน!
ยุคหนึ่งการเมืองไทย เราผ่านทัศนคติของประชาชน ที่ยอมรับได้ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน แต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย
ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง แจกในสถานการณ์ที่ไม่ควรจะแจก สร้างวัฒนธรรมแบมือขอ
แม้จะมีการมองว่า รัฐบาลทักษิณ เป็นขวัญใจคนรากหญ้า นโยบายที่สำเร็จอย่างมากคือ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค
แต่นโยบายอัปยศเช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร มีการคอร์รัปชันกันมโหฬาร
รวมถึงการทุจริตเชิงนโยบาย และผลประโยชน์ทับซ้อน เกิดเป็นคดีความมากมายทั้งในรัฐบาลไทยรักไทยและตระกูลชินวัตร
และที่ “สุทิน คลังแสง” โกหกหน้าด้านๆ คือ “ทักษิณ” ทำให้ประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย แต่วันนี้ประเทศกลับเป็นหมาตัวที่ ๑ ของเอเชีย
นี่ไม่ต่างจากทัศนคติชังชาติ
ความจริงคือ ประเทศไทย ไม่เคยขึ้นชั้นเป็นเสือตัวที่ ๕
และไม่เคยเป็นหมาตัวที่ ๑ ของเอเชีย
การสื่อสารของนักการเมืองไปถึงประชาชนลักษณะเช่นนี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย นอกจากสร้างความเกลียดชัง
ประเทศไทยแค่เกือบจะเป็นเสือตัวที่ ๕ เท่านั้น
และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมจะหนุนให้ไทยเป็นเสือตัวที่ ๕ แห่งเอเชียคือ อีสเทิร์นซีบอร์ด ในยุค “ป๋าเปรม”
รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ได้อานิสงส์ มาเต็มๆ
“น้าชาติ” ปั่นเสือตัวที่ ๕ ด้วย นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ขยายโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด
แต่สุดท้ายถูกรัฐประหาร
มีการบอกว่า เพราะรัฐประหาร ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ทำให้ไทยก้าวไปไม่ถึงฝัน
ก็ถูก แต่ไม่ทั้งหมด
สาเหตุหลักมาจากรัฐบาลหลังยุค “ป๋าเปรม” วางไทยเป็นประเทศแรงงานราคาถูก ดึงดูดอุตสาหกรรม แต่ไม่สร้างนวัตกรรมของตัวเอง
ต่างจากเกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ที่ทุ่มไปกับการพัฒนาคนที่ชัดเจน
ฉะนั้นถ้าบอกว่า ไทยเป็นหมาตัวที่ ๑ ของเอเชีย นักการเมืองทั้งหลายจะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะทุกรัฐบาลแข่งกันนำเสนอนโยบายประชานิยม จนแทบไม่สนใจที่จะพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน คือการพัฒนาคน
กิจกรรม “ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม” ของพรรคเพื่อไทยจบลงที่ “อุ๊งอิ๊ง” ประกาศความพร้อม ปลุกเพื่อไทยต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้
“นโยบายของเราจะเติมเงินในกระเป๋าให้ประชาชนแบบมีเกียรติ อำนาจรัฐเท่านั้นที่จะเป็นทางออก”
เริ่มต้นก็ใช้เงินล่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
นโยบายแบบนี้แหละที่ส่งเสริมให้ไทยเป็นหมาตัวที่ ๑ ของเอเชีย
ที่มา : https://www.thaipost.net/columnist-people/108141/