เปลว สีเงิน
การพลัดตกจากเรือสปีดโบตลงไป “จมน้ำตาย” ของดาราสาว “แตงโม”
ดูท่า เรื่องราว “จะไปกันใหญ่”!
เพราะจากปากคำเพื่อนในเรือ ๕ คน ชาวบ้านร้านตลาดฟังแล้วบอก ฟังมันขัดแย้งกับ “ความน่าจะเป็น” ในหลายๆประเด็น
โดยเฉพาะประเด็น น้องแตงโมสวมบอดี้สูทปัสสาวะท้ายเรือ เป็นเหตุพลัดตกน้ำ!
ผู้ชำนาญการด้านบอดี้สูท ระบุ การยืนปัสสาวะในชุดบอดี้สูท “เป็นไปไม่ได้” ที่ใครจะยืนปัสสาวะบนเรือชนิดเย้ยฟ้าท้าดินท่ามกลางสายตาผู้อื่นอยางนั้น ต่อให้เป็นเพื่อนกันก็เถอะ
ถ้าอย่างนั้น คำถามที่ตามมา คือ….
แล้วน้องแตงโม ตกจากเรือ “จมน้ำ” เสียชีวิตได้อย่างไร?
อีกอย่าง ในเรือมี ๖ คน รวมทั้งน้องแตงโม ด้วยเรือแค่นั้น ใครทำอะไร เคลื่อนไหวอย่างไร ทุกคนต้องเห็น
นั่นหมายความว่า การพลัดตกจากเรือจมน้ำของน้องแตงโม จะตกแบบไหน-อย่างไรก็เหอะ เพื่อนๆ ทั้ง ๕ คนในเรือ “ต้องเห็น” แน่นอน
น้องแตงโม “ว่ายน้ำเป็น”
คนที่ว่ายน้ำเป็น ตามธรรมชาติ ตกปุ๊บ จะไม่จมปั๊บ สามารถลอยคอต๋อมแต๋มอยู่ได้ มีเวลาถมเถที่จะช่วยกัน
อีกทั้งในเรือ มีผู้ชายตั้ง ๓ คน…….
แล้วทำไมจึงไม่มีใครช่วย ถ้าไม่โดดน้ำลงไปพยุงตัว ก็โยนเชือก โยนถังให้เกาะ เอาเรือเข้าไปเทียบ
ไม่ปรากฏเลยว่า มีการช่วยเหลือทันท่วงทีใดๆ จากเพื่อน ทั้งที่เพื่อนเห็นเพื่อนตกน้ำต่อหน้า-ต่อตา?
มันเป็นอย่างนั้นได้หรือ ทั้งในความเป็นเพื่อน ทั้งในความเป็นมนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นคนกำลังจมน้ำ แล้วไม่ทำอะไรเลย?
จึงเกิดคำถามงอกขึ้นมาเรื่อยๆ ในความคลุมเครือแห่งเรื่องราวว่า “หรือในเรือ จะมีมากกว่า ๖ คน และไม่ประสงค์จะเปิดตัวให้ใครรู้?
และน้องแตงโม “อุบัติเหตุตกน้ำ” แน่หรือ?
คงจะด้วยสัญชาติญานสนองตอบความอยากรู้เหล่านี้กระมัง ช่วง ๒-๓ วันนี้ ไถโซเชียลปรื๊ดแล้ว-ปรื๊ดเล่า หาเรื่องอื่นแทบไม่พบ
ข่าวน้องแตงโมยึดพื้นที่เฟซของเฮียมาร์ก ซักเคอรเบิร์กไปหมดสิ้น!
ที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะเห็น ก็ได้เห็นเป็นบุญตา ผู้หญิงสวมบอดี้สูท สาธิตการยืนปัสสาวะให้ดูบ้าง สาธิตอร้าอร่ามหน้าจอบ้าง
ก็เชื่อแล้วหละ ไอ้บอดี้สูทของผู้หญิงนี่ มัน “เพชฌฆาตความเครียด” อย่างหนึ่ง
คงด้วยโลกยุคสื่อสารไอทีนี่กระมัง แง่มุมชวนสงสัยจึงประเด-ประดังเป็นกระแสร้อน ตำรวจตั้งแต่ผบ.ตร.ลงมาเลยต้องระดมลงมาเป็นนักสืบโคนัน (ทวิศาล)
อันที่จริง ถ้าย้อนไปดูแต่คืนเกิดเหตุ นับแต่ตอน ๕ ทุ่มกว่าของวันที่ ๒๔ กุมภา. ตามข่าวคราว ตำรวจท้องที่ แม้ได้รับแจ้งเหตุ แต่ดูเหมือน ไม่ตื่นรู้ในเรื่องคดีตามวิสัยเลย
จนผ่านไป ๒๐-๓๐ ชั่วโมง คือข้ามไปอีกวัน เมื่อเอะอะมะเทิ่งกันขึ้นนั่นแหละ ตำรวจค่อยไปตามตัวแต่ละคน ทั้ง ๕ คน มาเข้ากระบวนการสอบสวน
จาก ๕ ทุ่มคืนเกิดเหตุ ยันเที่ยง-ยันบ่ายอีกวัน ถึงสอบปากคำ และไปตรวจสภาพเรือที่เกิดเหตุ
ถามว่า แล้วในเรือ ยังจะเหลือ “สภาพจริง” อะไร ให้ตรวจหาร่องรอย หาหลักฐานได้ล่ะ?
นี่เป็นอุทาหรณ์การทำงานของตำรวจท้องที่มืออาชีพ จึงไม่แปลกใจเลย ที่การเสียชีวิตของน้องแตงโม จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของทุกคน
ยิ่งจากปากคำแต่ละคนที่เล่าเหตุการณ์ นั่นยิ่งเพิ่มปริศนาดำมืดเข้าไปในความเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น ว่า…….
“จริงหรือ น้องแตงโมตายเพราะอุบัติเหตุ?”
อาจเพราะอุบัติจริงๆ ก็ได้ แต่ท่าทีส่ออาการของแต่ละคน มันทำให้สังคม แม้กระทั่งครอบครัวน้องแตงโมเอง ยากปักใจเชื่อ!
ถ้าพูดกันตามเส้นทางคดี
เรื่องนี้ “ไม่ยาก” สำหรับตำรวจไทย เพราะเค้าเงื่อนในแต่ละเงื่อนปม ไม่ซับซ้อน เกินกว่าความสามารถตำรวจ (ถ้าทำจริง) ที่จะสืบเสาะ คลี่คลาย
ฉะนั้น ขอให้แฟนๆ อดใจรอ ลองผบ.ตร. “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้เอตะทัคคะด้านสอบสวนของสตช.ลงมาชะแง้คดีด้วยละก็
คดีไม่แค่คืบหรอก……
แต่จะเร็ว ชนิด “ไปเป็นศอก” เลยทีเดียว!
“ความจริงหนีความจริงไม่พ้น” ก็ประมาณนั้น ว่ากันตามตรง ผมก็ไม่ได้เกาะติดเรื่องราวเท่าไหร่ ที่คุยนี่ ติดใจประเด็นเดียว คือ
เพื่อน….
เห็นเพื่อนตกน้ำต่อหน้า-ต่อตา
ไม่ช่วย ปล่อยให้เพื่อนตาย ตรงนี้มันทั้งคาใจ ทั้งยอกแสลงใจ อยากหาคำตอบมาบ่งจริงๆ ไม่งั้นนอนตาไม่หลับ!
เพราะอยู่ในเรือด้วยกัน ใครจะอ้างว่า “ไม่เห็น”
คนนั้น “ตอแหล” ชัดๆ!
ตอนเด็กๆ ยังว่ายน้ำไม่เป็น ผมเคยตกน้ำ จมลงไป พี่สาวโดดจากเรือสำปั้นลงไปงมขึ้นมา นั่นขนาดผมว่ายน้ำไม่เป็น ๑ นาที ๒ นาที ยังไม่เป็นไร
แล้วนี่ น้องแตงโม คุณแม่เขายืนยันว่าว่ายน้ำเป็น จะไม่จมทันที-ทันใดแน่นอน เวลาเหลือเฟือ สำหรับเพื่อนจะช่วยเพื่อน
แม้กระทั่งเพื่อนมนุษย์ที่เป็น “คนอื่น” ก็เหอะ….
ถ้าเขาพบเหตุซึ่งๆ หน้า ไม่มีใคร “ใจมด-ใจคด” ปล่อยให้จมโดยไม่ช่วยอะไรเลย จริงมั้ย?
ผมติดใจตรงนี้ คือตรง “เพื่อนต่อเพื่อน” อันเป็นด้านจิตใจเท่านั้น ส่วนอย่างอื่น เป็นเรื่องข้อเท็จจริงทางด้านคดี การจะใช้แค่ความรู้สึกไปชี้นั่น-ชี้นี่ มันคงไม่ใช่
ฟังข่าวว่า เพื่อนร่วมอยู่ในเรือคนหนึ่ง จะบวชอุทิศบุญให้น้องแตงโม นับเป็นกุศลเจตนาอย่างหนึ่ง
แต่ผมสงสารพระศาสนาแฮะ……..
นับวันพระพุทธศาสนาจะเป็นสถานที่ “บวชไถ่บาป” เป็นไฮเปอร์ลูปส่งบุญไปถึงคนตายซะแล้ว
เท่าที่สังเกต ตอนได้ดี-มีสุข ศาสนาเป็นส่วนเกิน ไม่คิดจะบวชกัน แต่พอมีทุกข์-มีคดี อยากบวชกันขึ้นมาทันที
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ทรายสำหรับนกกระจอกเทศ ที่ยามกลัวภัย ก็เอาหัวมาซุก มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ
เว็บ “มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา” ผู้ใช้นามว่า study โพสต์ไว้อย่างนี้
ในสมัยครั้งพุทธกาล ไม่มีประเพณีการบวชหน้าไฟ น่าจะเป็นความเข้าใจผิด ของคนบางคนที่คิดว่า มีการบวชให้แก่ผู้ตายไปแล้ว
ความจริงแล้วการบวชหน้าไฟ ไม่ได้สำเร็จประโยชน์อะไรแก่ผู้ตายเลย ในสมัยครั้งพุทธกาล เมื่อมี ญาติล่วงลับไปแล้ว
พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้กระทำทานแล้วอุทิศส่วนบุญให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วอนุโมทนา
สำหรับเรื่องการเลือกวัดที่จะบำเพ็ญบุญแก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้าสะดวกที่ไหน ก็ทำที่นั่น……
ข้อความในพระไตรปิฎก มิได้มีให้บุตรบวช เมื่อมารดา บิดาตายแล้วเลย มีแต่ให้อุทิศส่วนกุศลให้ ลองอ่านดูครับ
ข้อความบางตอนจาก “สิงคาลกสูตร”
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 88
“ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา เป็นทิศเบื้องหน้า อัน บุตรธิดาพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจว่า
ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑,จักรับทำกิจของท่าน ๑,จักดำรงวงศ์ตระกูล ๑,จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ๑
การตอบแทนพระคุณ มารดา บิดา ก็ไม่ใช่รอให้ท่านตาย ขณะนี้เราก็ปฏิบัติตนเป็นบุตรที่ดีได้ ดังข้อความในพระไตรปิฏกที่ยกมานั้น
สรุป ในพระพุทธศาสนา นับแต่ครั้งพระพุทธกาล ไม่มีการบวชอุทิศบุญให้ผู้ตาย ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็น บิดา มารดา หรือเป็นใครก็ตาม
อย่างที่ขับรถชนคนตาย ฆ่าคนตาย หรือทำเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต แล้วไปบวช ด้วยหวังอุทิศบุญให้นั้น ไม่ใช่-ไม่มีในคติพุทธ
เป็นคติ “เนื้องอก” หลังพุทธกาล “พระธรรมกิตติวงศ์” เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“…..หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระศพหรือมีการบรรพชาอุทิศส่วนกุศลให้กับพระองค์ท่านแต่อย่างใด
จึงสันนิษฐานได้ว่า การสวดพระอภิธรรมศพและการบวชหน้าไฟ นี้ เป็นประเพณีความเชื่อที่คนรุ่นหลังคิดค้นขึ้นมาเอง และยึดถือปฏิบัติใน งานศพ นับตั้งแต่นั้นมา ฯลฯ
……….ทั้งนี้ ทั้งนั้น การบวชต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้บวชเอง การกระทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน มันก็จะส่งผลออกมาได้ไม่ดีเท่ากับความตั้งใจจริง”
สรุป อีกที…..
ใครก็ตาม จิตเศร้าหมองทางคดี แล้วมาบวชหวังเป็นบุญใช้หนี้ โปรดเข้าใจว่า
พุทธศาสนา ไม่ใช่ตู้เอทีเอ็ม “กดบุญ” นะครับ!