การเมือง “ทำคนขอทาน” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

“ภาพ ๓ ภาพ” ที่เกิดต่อเนื่องขณะนี้….
มันสะท้อนอะไรให้พวกเราได้คิดกันบ้างมั้ยครับ?
-ภาพ ชาวบ้านได้รับแจก ๑ หมื่น ยกมือท่วมหัวขอบคุณรัฐบาล
-ภาพ น้ำป่าทะลักพัดบ้านทั้งหลังไปกับน้ำต่อหน้า แล้วไหลบ่าเชี่ยวกรากเข้าท่วมเมือง ปีแล้ว-ปีเล่า และ
-ภาพ นายกฯ, รัฐมนตรี, ข้าราชการ ตั้งศูนย์บัญชาการประชุม “ถอดบทเรียน” ในทุกครั้งที่น้ำท่วม

และก็จบไป….
โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นในทาง “ป้องกัน-แก้ไข” และในทางใช้สถานการณ์ยากลำบากนั้น

สร้าง “ความตระหนักรู้” ให้ชาวบ้าน….
แล้วแปลงความตระหนักรู้นั้น “เป็นประสบการณ์”
หาวิธีการรับมือเฉพาะหน้าเอาชีวิตและทรัพย์สินรอดยามน้ำป่าทะลักมาให้ได้

ในเมื่อเรา “ย้ายถิ่น” หนีมันไปไหนไม่ได้
ก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะ “อยู่กับมัน” แบบรู้ทันและอยู่รอดให้ได้!

ประเทศไทยเราอยู่ในชัยภูมิที่ต้องบอกว่า “ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ-อากาศ” สมดุลที่สุด จนชาวโลกอิจฉา

เพราะเรา “คนไทย” ทำลายความสมดุลนั้นเอง

วันนี้ ทั้งสังคมมนุษย์ ทั้งสังคมธรรมชาติ จึง “แปรผัน-ผิดเพี้ยน”

“ในหลวงรัชกาล ที่ ๙” ทรงเล็งเห็น “อนาคตคน-อนาคตประเทศ” ในทางยาวแล้ว พระองค์จึงทรงพร่ำสอน-พร่ำเตือน ให้ “อยู่กับธรรมชาติ” โดยดำรงวิถี “ชีวิตพอเพียง”

พอเพียงคือ “อยู่กับธรรมชาติ” โดยไม่รังแกธรรมชาติจนเกินพอดี
การ “ไม่เกินพอดี” คือ “อยู่กับป่า” โดย “ไม่ทำลายป่า”

เมื่อไม่ทำลายป่า ชนิดวินาศสันตะโร ป่าก็จะปรับสภาพดิน, ฟ้า, อากาศ ก่อเกิด “ต้นน้ำ-ลำธาร” เกื้อ
และช่วยทำหน้าที่ “ชลประทาน” ธรรมชาติ

น้ำมากจนล้น ต้นไม้และดิน ก็จะทำหน้าที่ดูดซับ และชะลอน้ำ จากเชี่ยวกรากเป็นไหลริน ค่อยๆ ระเรื่อยไหล จากทำลายเป็นสร้างสรรค์

เรารัก “พ่อหลวง” แต่เราไม่เชื่อคำสอนพ่อกันเลย

ทำตัวเหมือนกวางที่หนีนายพรานเข้าไปซ่อนอยู่ในดงเถาวัลย์คลุมครึ้มเขียว

แทนที่กวางจะรักษาเถาวัลย์เป็นกำแพงพราง กลับตรงกันข้าม

กวางเห็นเถาวัลย์ทั้งใบอ่อน-ใบแก่และเถาอวบอ้วน
ก็ตะกละ ละโมภ และเล็มกัดกิน เพลิดเพลินไปเรื่อยๆ จนเถาวัลย์ใบโกร๋น

จากที่เป็นเกราะกำบังภัยให้….

เมื่อทั้งเถา-ทั้งใบถูกกินโกร๋น พรานก็มองเห็นตัว ฮั่นแน่…เจ้ากวางอยู่นี่เอง ก็ยกธนูยิงขวับ…ตายแหงแก๋

ด้วยไม่รู้คุณป่า……
กวางจึงต้องไปเกิดเป็นไก่อยู่ที่ “เขาสวนกวาง” ให้เขาเอาไม้มะดันเสียบตูดย่างจนถึงทุกวันนี้ (แฮะๆ พูดเล่นน่า)!

ปัญหา “เยียวยา-ช่วยเหลือ-ฟื้นฟู” ชาวบ้าน เป็น “ปัญหาเฉพาะหน้า” ที่รัฐบาลต้องทำ ถือเป็นงานตาม “สัญชาตญาณ”
ไม่ต้องให้ใครเตือน

ส่วนการแก้ทางยาว เป็นงานวิสัยทัศน์ ต้องใช้ปัญญา บนจริงใจ-อุตสาหะ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ของผู้บริหาร

ประเด็นที่ “ผู้บริหาร” ควรต้องคำนึง จะไม่มีคำว่าสาย ถ้าลงมือทำจริง
คือ ไม่ว่า “เหนือ-ใต้-อีสาน-ออก-ตก-กรุงเทพฯ”

ทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เมือง เราย้าย “หนีน้ำ” ไปไหนไม่ได้หรอก

เรารู้…ปีหน้า น้ำก็มาท่วมอีก
เพราะเรา รุกป่า ถางป่า เข้าไปทำไร่ ปลูกบ้าน สร้างรีสอร์ต โรงแรม ลักลอบโค่นไม้ใหญ่กันประจำ จนรู้กัน “ใครๆ เขาก็ทำ” เราก็ทำมั่ง

ในเมื่อเราเป็นกวางเนรคุณเถาวัลย์ เมื่อน้ำต้องท่วม พาดินโคลนมาถล่มแบบนี้ทุกปี แล้วเราจะรับมือมันยังไง?

หวังให้ทหาร หน่วยราชการ ประชาอาสา มาช่วยทุกปี ก็อาจได้

แต่ตอนน้ำหลากเฉพาะหน้า เราจะช่วยตัวเองยังไงให้รอดก่อน นี่แหละ รัฐและชาวบ้าน ต้องคิดและทำร่วมกัน

มีวิธีไหนสอนให้ชาวบ้านช่วยตัวเองและรักษาทรัพย์สินให้ปลอดภัย น้ำมาฉับพลันก็รอดได้

ตรงนี้แหละ รัฐบาลควรใช้จังหวะชาวบ้าน “จิตเปิด” พูดจาให้ตระหนักรู้ร่วมกัน

“กระทรวงศึกษา” ต้องปรับหลักสูตร ชั้นประถม-มัธยม ชี้ให้เห็นคุณประโยชน์ในการเรียน “วิชาลูกเสือ-เนตรนารี”

วิชา “ผูกเชือก” ด้วยเงื่อนต่างๆ การสอนวิธีก่อไฟ-หุงข้าว เหล่านี้ อย่านึกว่าเหลวไหล

น้ำท่วม….สิ่งแรก ที่ต้องบอกว่า ต่อไปนี้ แต่ละบ้าน ควรต้องมีเชือกขนาดเขื่องให้ครบคน “ติดบ้าน” ไว้

ยามฉับพลันต้องลอยคอ เชือกและวิชาผูกเงื่อนนี่แหละ จะช่วยไม่ให้เราถูกน้ำพัดลอยหายไป

กระทรวงมหาดไทย โดยกรมบรรเทาสาธารณภัย ต้องให้งบปตท.ไปช่วยออกแบบผลิต “ถุงซิปล็อก” ชนิดใหญ่พิเศษ แล้วแจกนำร่องชาวบ้านในเขต “เสี่ยงน้ำท่วม” ให้ทั่วถึง

พอเข้าฤดูกาลน้ำจะมา…….
เก็บเลย ที่หลับ-ที่นอน ตู้เย็น โทรทัศน์ ครกกะบาก-สากกะเบือ เสื้อผ้า เงินทอง ข้าวของมีค่าอะไร
เก็บใส่ “ถุงซิปล็อก” ไว้ให้หมด

แล้วเก็บไว้ในบ้านนั่นแหละ ไม่ต้องเป็นมดคาบไข่หนีน้ำ น้ำมา อยากท่วม ก็ให้ท่วมไป แต่น้ำจะไม่เข้าไปเปียกเปรอะเปื้อนข้างในได้

ส่วนตัวเรา คว้าเชือก คว้ามีด เงินทองของจำเป็นที่ต้องใช้ ใส่ถุงซิปล็อกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงของปตท.ขนาดย่อม เอาติดตัวไป

เนี่ย….
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลควรทำทันที อย่าเอาแต่ “ถอดบทเรียน” จนเหลือแต่กางเกงใน แต่ไม่เจออะไรซักที

“รุ่นนำร่อง” เอางบกลางมาจ้างผลิต “ถุงซิปล็อก” ขนาดใหญ่แจกก่อน

เมื่อเห็นผล แม้น้ำท่วมถึงหลังคา แต่ว่าข้าวของอยู่ใน “ถุงซิปล็อก” ครบ ไม่เสียหาย เปิดออกใช้ได้เลย
ต่อๆ ไป เอกชนเขาก็จะผลิตออกจำหน่ายเอง

ชาวบ้านก็รู้แล้ว “เป็นของต้องมี” เขาก็จะหาซื้อหาติดบ้านกันเอง

บทเรียนที่ ๒ ซึ่งสอน “ทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์” ให้สำนึกรู้ ก็คือ

เรากำลังทำเมืองไทย ให้เป็นเมือง “คนขอทาน” เข้าไปทุกที

การ “เยียวยา” เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ต้องทำ เช่น ตอนเกิดโควิด หรือเกิดภาวะน้ำท่วมบางพื้นที่ขณะนี้ รัฐบาลต้องช่วยชาวบ้าน

แต่การที่รัฐบาล “สร้างหนี้ให้ประเทศ” โดยประชาชนเป็นผู้แบกรับหนี้นับเป็นแสนๆ ล้าน
ด้วยการใช้วิชามาร “ตั้งงบรายจ่ายเพิ่มเติม”

พูดตรงๆ “กู้มาแจก” เป็นแสนๆ ล้าน ไม่เป็นการสร้างหนี้เพื่อนำไปลงทุนให้มีผลงอกเงยแก่สังคมชาติแต่อย่างใดเลย

ตรงกันข้าม “เพื่อการหาเสียง” โดยตรง ผ่านวิธีการ “จัดทำงบประมาณ” อย่างที่นำมาแจก นั้น

รัฐบาลกำลังแปลงคำว่า “เสพติด” ให้เป็นการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่น่ารังเกียจ!

เหมือนพ่อแม่ มีลูกติดยา เวลาอยาก ไม่มียา ชัก…จะลงแดง แทนที่พ่อแม่จะ “ฝึกหัด-ดัดสันดาน” ให้ลูกผ่านด่านวิบาก
กลับเอา “ยาเสพติด” ปรนเปรอลูก

และแทนที่จะหาทางบำบัดรักษาให้ลูกหายจากติดยา กลับมาตั้งหลักเป็นคนทำมาหากิน
กลับป้อนยาเสพติดให้ลูก “ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า” และทุกครั้งที่เสี้ยนยา!

อย่างนี้ “พ่อ-แม่” เลว หรือ “ลูก” เลว?

ตั้งแต่ปี ๔๔ ที่ทักษิณเป็นนายกฯ ด้วยนโยบาย “โกงเอามาแบ่งปัน” ไม่เป็นไร และใช้ “ประชานิยม” มอมชาวบ้านเรื่อยมา

จนถึงทุกวันนี้ คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่พ่อพร่ำสอน-พร่ำบอก ไม่มีใครสนใจ
โหยแต่คำว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ด้วยเงินแจก เงินดิจิทัล!

กดตู้ได้ ๑๐,๐๐๐ ดีอก-ดีใจ ยกมือท่วมหัว น้ำหู-น้ำตาไหล ขอบคุณรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย

จะต้องไปขอบคุณคนที่ฉ้อฉลสร้างหนี้ให้ประชาชนทั้งชาติ เพื่อฉกฉวยประโยชน์ให้ตัวเองทางการเมืองไปทำไม….

ถ้าจะขอบคุณ….
ต้องขอบคุณ “คนในระบบภาษี” ทุกคน เขาไม่ได้กินด้วย แต่ต้องแบกหนี้นับแสนๆ ล้านนี้ และบ้านเมือง นับแต่จะหยุดอยู่กับที่และถอยหลังลงไปอีกนาน

เพราะภาษีที่เก็บได้ แทนที่จะเอาไปลงทุนพัฒนาคน-พัฒนาประเทศ
กลับเอาไปแจกหาเสียง อีกทางหนึ่ง ต้องเอาไปจ่ายหนี้เป็นรายปี “เงินลงทุน” แทบไม่มีเลย!

ประเทศไทยกลายเป็นเมือง “คนเสพติด”
เสพติดอบายมุข เสพติดโกง และเสพติดการเมืองแจก! ตอนนี้ แจกซ้อนแจก

เยียวยาคนถูกน้ำท่วม โอเค.สมควรต้องให้เขา

แต่ “แจกหาเสียง” ๕ แสนล้าน ถ้าบอกว่าเพื่อ “กระตุ้นเสพติด” มันเหมือนป้อนผงขาวให้ลูก นั่นใช่

ถ้าบอก “กระตุ้นเศรษฐกิจ” เสริมกับการเยียวยาน้ำท่วม นั้นไม่ใช่ มันเป็นการทำร้ายทั้งคน-ทั้งประเทศตะหาก

หนี้รัฐบาล ๑๐,๒๖๙,๙๘๐.๐๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๑๘ ของหนี้สาธารณะทั้งหมด

ในจำนวนที่เพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๒๘,๙๖๔.๗๘ ล้านบาท เป็น “เงินกู้” ชดเชยขาดดุลงบประมาณที่รัฐบาลนำมาแจก ๑๒๔,๗๓๖.๑๑ ล้านบาท คนละ ๑๐,๐๐๐ นี้แหละ!

สรุป ณ วันนี้…….
“หนี้สาธารณะ” รัฐบาลก่อ ๑๑,๖๔๖,๑๕๙.๔๔ ล้านบาท เท่ากับร้อยละ ๖๔.๒๙ ของ GDP

“หนี้ครัวเรือน” คือหนี้ชาวบ้านก่อ ขณะนี้ ยอดหนี้ ๑๖.๙ ล้านล้านบาท คิดเป็น ๙๑.๔% ต่อ GDP

ถ้ารัฐบาลไม่แปลงการ “เสพติด” เงินแจกในทุกวิกฤติให้เป็นประสบการณ์ในแต่ละชีวิตชาวบ้าน

ด้วยการ “ปรับชีวิต” ฐานรากใหม่ “สู่วิถีพอเพียง” ด้วยระบบ “โคก-หนอง-นา” ให้ได้ละก็ อนาคตประเทศ “ยากฟื้น”

ที่ดิน ๑ ไร่ ต้องทำชีวิตให้ยืนหยัดอยู่ได้เป็นเบื้องต้นก่อน โดยไม่ต้องหวังพึ่ง “เงินแจก”

นั่นแหละ…….
สลัดแอก “เสพติด” เงินแจกได้วันไหน คนไทย “มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี-มีเงินใช้” ได้วันนั้น!

เปลว สีเงิน
๓๐ กันยายน ๒๕๖๗

 

 

Written By
More from plew
ช่องว่างระหว่าง “คิด-คุก”
เปลว สีเงิน พูดถึง “ธนาธร” ไปสองวัน เว้นบ้างดีมั้ย? บ่อยไปจะเป็นการ “ให้ราคาขยะสังคม” เกินมูลค่าจริงมากไป!
Read More
0 replies on “การเมือง “ทำคนขอทาน” #เปลวสีเงิน”