ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
วงการลูกทุ่งเวลานี้มี “เรื่องยุ่งๆ” อยู่สองรุ่น-สองรส
รุ่นหลาน..ก็เรื่องของ “สะตอ” สาวน้อย “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” กับ “ลูกเนียง” หนุ่มน้อย “เก้า-เกริกพล เพชรรัตน์” ที่ป่านนี้ก็ยังสาวไส้กันไม่จบกับเรื่องเงินๆ ทองๆ..
และก็มองไม่เห็นทางว่าจะ “จบ” กันอย่างไร?
ครั้น จะฝากผู้ใหญ่ในวงการอย่างคุณเอกชัย ศรีวิชัย ช่วยไกล่เกลี่ย ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากเข้าไปยุ่งสักเท่าไร..
จะเพราะกลัวเด็กถอนหอก หรือด้วยรำคาญ (ปาก) พวก “ติ่ง” ของทั้งสองฝ่ายรึอย่างไร ก็ไม่อยากถาม!
แต่ถ้าลองคุณเอกชัยถอยตัวออกห่าง ก็อย่าหวังเลยที่จะมีผู้หลักผู้ใหญ่ท่านไหนยื่นมือเข้าไปเป็นธุระ จับมือเด็กสองคนมาตกลง-ยุติศึกให้สงบจบลงได้
นี่..ก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ ว่าการมีชื่อเสียง มีเงิน ร่ำรวยตั้งแต่ยังเด็ก ก็ใช่ว่าจะมีแต่ “ดี” เสียทั้งหมด ผมเคยได้ยินคนจีนรุ่นเก่าๆ เขาพูด..
ครอบครัวที่ลูกประสบความร่ำรวยตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวนั้นย่อมจะต้องเจอกับปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย!
ก็ไม่รู้หมายความว่าอะไร แต่พอดีได้อ่านข้อความจากเฟซบุ๊กของคุณกบ ธวัชชัย นักจัดรายการวิทยุคนดัง จะเป็นดังคนจีนว่าหรือไม่ อยากให้ผู้อ่านได้ช่วยพิจารณา
คุณกบเขียนว่าอย่างนี้.. “การมีชื่อเสียง หาเงินได้เยอะๆ ตั้งแต่ยังเด็กนี่มันก็เหมือนดาบสองคมนะ
ไอ้คมแรกมันก็ดีอยู่หรอก ได้ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวไปเลยก็ได้ แต่อีกคมนึงมันก็อาจจะไม่ดี และย้อนมาบาดตัวเองได้เหมือนกัน
เพราะการมีชื่อเสียง และหาเงินได้เยอะๆตั้งแต่อายุน้อยๆ แน่นอนล่ะ มันก็ย่อมจะเกิดความภูมิใจในตัวเอง ในบางคนก็อาจจะมากจนถึงขนาดลุแก่อำนาจ ทั้งอำนาจเงิน และอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
ถ้าเกิดกับคนอายุน้อยๆ ที่วุฒิภาวะยังไม่ถึงนี่ก็อาจจะทำให้เสียคนได้เลยทีเดียว ใครพูดไม่ฟังละทีนี้
มันก็จะนำพาให้ทำอะไรประหลาดๆ เช่นอวดร่ำอวดรวย เริ่มจะใช้ชีวิตตามแบบดารา อาจจะมีบ้างที่ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น หรือแม้กระทั่งคิดว่าตัวเองทำอะไรก็ถูกไปหมด เพราะไม่มีใครคัดค้าน
แม้แต่พ่อแม่ก็พูดไม่ได้ เพราะอาศัยกินกับลูกอยู่ น้ำท่วมปาก ก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม
สุดท้ายก็ตามกรรมจริงๆ แหละครับ ทุกวันนี้เป็นยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย คนที่ไม่น่าดังก็ดังขึ้นมาง่ายๆ พอดังง่ายก็ไม่มีพื้นฐานที่แน่นพอที่จะตั้งรับกับสิ่งต่างๆ ที่จะประดังกันเข้ามา ทั้งทางบวกและลบ
ด้วยความที่ไม่มีใครคอยบอกคอยสอน เป็นอินดี้ที่ไม่มีกุนซือ จึงแสดงออกไปตามสันดาน สุดท้ายกระแสก็ตีกลับ จนกระทั่งดับไปเอง แล้วก็จะมีหน้าใหม่ๆ โด่งดังขึ้นมาทดแทน เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ..”
ครับ..คราวนี้ก็มารุ่นปู่ คือครูชลธี ธารทอง ศิลปินแห่งชาติ ที่เดินขึ้นโรงพักเพื่อแจ้งความเอากับศิษย์รัก คุณเสรี รุ่งสว่าง ข้อหา “ละเมิดลิขสิทธิ์เพลง” นั่นแหละ!
ได้ยินคนในแวดวงลูกทุ่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา แต่ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะมีคำถาม..ใช่ครูชลธีหรือ?
นั่นสิ..ผมเองก็พลอยสงสัย จะใช่ตัวตนของครูชลธีจริงๆหรือที่เที่ยวค้าความ เดินสายฟ้องค่ายโน้น-คนนี้ และถ้าไม่ใช่ แล้วใครล่ะที่ทำให้ครูกลายเป็น..
“คนขี้ฟ้อง”ไปน่ะ..หือ?