เปลว สีเงิน
อุ๊งอิ๊งคุยมี “ดีลลับ” กับสหรัฐฯ
ผมฟังก็นึกชมว่า “เธอแก่แดด” ขึ้นทุกวันแล้วนะ แต่จะเชื่อได้หรือไม่นั้น
ขอไปถามพ่อเธอก่อนว่า “ใครสอน”?
แต่ที่ไม่ต้องไปถามก็เชื่อสนิทใจว่า เรื่องกาสิโนนั้น สองพ่อลูกคู่นี้ ต้องแอบไปมี “ดีลลับ” กับนักลงทุน “มาเฟียกาสิโน” ที่ไหนไว้ซักรายแน่!
ไม่งั้น ทั้งพ่อ-ทั้งลูก ไม่หายใจออก ก็กาสิโน หายใจเข้า ก็กาสิโน ชนิดไม่สนสี่-สนแปด ขนาดนี้หรอก
ก็ดูซี บ้านเมืองตอนนี้ ถ้าเปรียบ ก็เหมือนมีข้าศึกยกทัพมาประชิดติดแดนทุกด้าน
ทั้งสงครามการค้า สงครามการเงิน สงครามเศรษฐกิจ สงครามปากท้องประชาชน สงครามหนี้สินทั้งภาครัฐ-ภาคครัวเรือน และสงครามชายแดนด้านเขมร-พม่า
ที่สำคัญ”เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ที่ยังพอทำงานอยู่ ๒ เครื่อง คือ “การส่งออก” และ “การท่องเที่ยว” พอสร้างรายได้พยุงประเทศได้บ้าง
ตอนนี้ ทำท่า “ติดๆ-ดับๆ” ส่งออกก็เจอสงครามกำแพงภาษี การท่องเที่ยว ก็ทำกันซะเละเน่า เริ่มเฉาเหี่ยว
“ซอฟต์ พาวเวอร์” ด้วยผ้าขะม้าผืนเดียว มูลค่า ๕,๐๐๐ ล้าน ก็เหลือประเด็นให้โปรโมทได้อีกด้านเดียว คือ “ใช้ผูกคอตาย” ได้อย่างเท่ๆ!
เครื่องยนต์การลงทุน มีแต่ราคาโม้ ของจริง “ดับสนิท”
เครื่องยนต์การบริโภคภายใน พอค้า-แม่ขาย ยืนจนแมลงวันตอมไข่ ก็ยังหาลูกค้าซักรายไม่เจอ!
สรุปสั้นๆ ตรงนี้ เพื่อไทยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมา ๒ ปี ที่โม้ว่าเศรษฐกิจจะดี ชาวบ้านจะรวยไปด้วยกัน นั้น
มีอุ๊งอิ๊งคนเดียวที่รวย
แต่ละชุดที่แต่งล้วน “เช้งกระเด๊ะ” ทั้งกระเป๋า นาฬิกา เครื่องเพชร รองเท้า จากหัวยันตีน รวมแล้วมูลค่าเป็นล้านในแต่ละวัน!
ส่วนชาวบ้าน ก็ “เป็นแสน-เป็นล้าน” เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ชุดแฟชั่น มันเป็นหนี้ประเภท “ดินพอกหางหมู” น่ะ
เนี่ย…..
แล้วจะทำยังไง เป็นนายกฯเคยคิดบ้างมั้ย ในเมื่อ “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ทำท่าจะดับหมดทั้ง ๔ เครื่องยนต์
“กัปตันอุ๊งอิ๊ง” จะตัดสินใจ นำเครื่องโหม่งลงหลังคา”บ้านจันทร์ส่องหล้า” หรือปล่อยตามบุญตามกรรม จวนตัวก็ชวนพ่อเผ่นไปตั้งหลักที่เขมร?
สถานการณ์เศรษฐกิจมาถึงขนาดนี้ ทีท่ารัฐบาลเพื่อไทยก็ยังไม่รู้สึก-รู้สา ในขณะที่ชาวบ้านเขาทวงเงินเยียวยาน้ำท่วมบ้าง ค่าอุบัติภัยต่างๆบ้าง ก็ยังไม่มีให้
แต่รัฐบาลก็ยังมุ่งหน้าแจก “หาเสียง” รัฐมนตรีในคอก “รมช.จุลพันธ์” บอกว่าเตรียมแจกเงิน “ดิจิทัลวอลเล็ต” ๑๐,๐๐๐ บาท ให้คนอายุ ๑๖-๒๐ปี จำนวน ๒.๗ ล้านคน
วงเงิน ๒๗,๐๐๐ ล้านบาท จะเริ่มแจกช่วงเดือน “พฤษภา-มิถุนา” นี้!
นี่เป็นการเอาเงินหลวงไปตกเบ็ด “ซื้อเสียง” ล่วงหน้าเด็กอายุ ๑๖-๒๐ ปีชัดๆ
๑๖ ปี ยังอยู่ในวัยเรียน ภาษีก็ยังไม่ต้องเสีย รัฐบาลดันเอาเงินจากคนสียภาษีไปแจกคนไม่เสียภาษี มันบ้าหรือดีกันแน่?
กะแจกวันนี้ อีก ๒ ปี ที่อาย ๑๖ ก็จะ๑๘ มีสิทธิ์เข้าคูหากากบาทเลือกตั้ง อย่างนั้นละซีท่า!
ร่วม ๓ หมื่นล้าน เป็นการผลาญสูญเปล่า
ตำรวจ-ทหาร-ตชด.-ทหารพราน เขานอนกลางดิน กินกลางป่า เฝ้าประเทศเขตแดนทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก เสี่ยงตายทุกวินาที
เคยคิดถึงเขา ด้วยเห็นคุณค่าพวกเขาเหล่านั้นบ้างมั้ย?
คิดจะเจียดซักหมื่นล้าน ………
ซื้อกางเกงในและยาแก้สังคังแจกทหาร-ตำรวจ-ตชด.-ทหารพราน ที่ชุดทำงาน ชุดกิน ชุดนอน ชุดชั้นใน ก็ชุดเดียวกัน ทั้งวัน-ทั้งคืน ให้พวกเขาได้นอนไป เกาไป ปลื้มน้ำใจรัฐบาลไป บ้างมั้ย?
ย้อนกลับมาถึงเรื่องท่องเที่ยว
ไอ้นโยบาย “ฟรีวีซ่า” ของรัฐบาล ด้วยบ้าปริมาณนักเที่ยวนั้น มันทำลายภาพลักษณ์
“ไทย-แหล่งนักท่องเที่ยวมีระดับ” ไปสิ้น!
ตอนนี้ กลายเป็นแหล่งรวมนักเที่ยว “ต่ำมาตรฐาน” สังคมมนุษย์ไปแล้ว ทั้งแก๊งโจร ทั้งอาชญากร ทั้งนักหลบซ่อนหนีคดี
นักเที่ยวขยะเหล่านี้ มีพฤติกรรมป่าเถื่อน สร้างปัญหาสังคมเป็นข่าวรายวัน ทำลายภาพลักษณ์ “ไทยรักสงบ-ปลอดภัย-ไร้คนถ่อยเถื่อน” ไปเสียสิ้น
ในขณะที่ “นักท่องเที่ยวจีน” หนีจากไทยไปแล้วกว่าครึ่ง
จากปัญหาไทยเป็นแหล่งจีนเทาหลอกล่อคนจีนส่งไปขายแก๊งคอลเซนเตอร์ฝั่งพม่า และปัญหา “อาชญากรรม” จีนเทาในประเทศ เป็นข่าวครึกโครมมากในจีน
ไทยเสียภาพลักษณ์มาก
ทำลายทัศนคติคนจีนที่เคยมองไทย “ประเทศเป็นมิตร” และ “ปลอดภัย” กลายเป็นประเทศอันตราย ไม่น่ามาเที่ยวแล้ว
เห็นได้ชัดจากเทศกาลสงกรานต์ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกว่าครึ่ง โดยหันไปเที่ยวเวียดนามและญี่ปุ่นแทน
“นายสรวงศ์ เทียนทอง” ในฐานะ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา แทนที่จะตระหนักในเรื่องนี้ และรีบหาทางแก้ภาพลักษณ์
กลับไม่รู้สึก-รู้สา!
แต่ไปให้ความสำคัญกับเรื่องกาสิโน ในฐานะเลขาฯพรรคสั่งให้สส.ออกไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ว่า”เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ “ไม่ใช่กาสิโน”
แล้วคุยว่า “จากการลงพื้นที่ของ สส.ส่วนมากประชาชนไม่ได้มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ไม่มีอะไรที่ไม่เข้าใจ”!?
นี่…ท่านเลขาฯ ไปบอกนายใหญ่-นายหญิงเขาซิว่า…..
การส่งสส.ไปหาชาวบ้าน แล้วกลับมาบอก “ชาวบ้านเข้าใจ ไม่ค้านการตั้งบ่อนกาสิโน” นั้น
มันหนังการ์ตูน “หลอกเด็ก”!
ก็ทำ “ประชามติ” ให้มันสิ้นเรื่อง-สิ้นสงสัยกันไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเถียงกัน ให้ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งประเทศเขาลงมติ “เอา-ไม่เอา” ไปเลย
ถ้าสียงส่วนใหญ่ “เอา” ก็ทำเลยกาสิโน แต่ถ้าส่วนใหญ่ “ไม่เอา” ใครที่ไปตกลง ไปรับมัดจำ ไปขายใบอนุญาตใครไว้ ก็ไปเคลียร์กันเอง
ง่ายๆ แค่นี้ ก็ไม่ยอมทำ เพราะกลัว “ไม่ผ่าน” ประชามติใช่มั้ยล่ะ ก็เลยยักกระสาย แอบไป “ตกเบ็ดพิจารณ์” ที่โน่น-ที่นี่ แล้วตีขลุมว่า ประชาชนเข้าใจ ใม่ค้าน!
ผมก็แปลกใจนะ….
ว่าทำไม “สองพ่อลูก” คู่นี้ จึงหมกมุ่นผลักดันให้มีกาสิโนในไทยให้จงได้ ทั้งที่เวลานี้ เศรษฐกิจ ชีวิตปากท้องชาวบ้าน เป็นปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน กลับไม่อินัง-ขังขอบ
พ่อไปเชียงใหม่ ก็เอาเลย……….
“คำว่ากาสิโนไม่ใช่หัวใจหลัก เพราะมีกาสิโนอยู่แค่ ๑๐% เท่านั้น แต่ ๙๐% กว่าเป็นที่บันเทิง”
รวมถึงฮอลล์คอนเสิร์ตมาตรฐานระดับโลกและสนามกีฬาสากล ซึ่งประเทศไทยยังขาดแคลน
ทำให้ไม่สามารถรองรับศิลปินระดับโลกอย่าง “เทย์เลอร์ สวิฟต์” หรือการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติได้
ส่วนของกาสิโนจะรวมอยู่ในโครงการ จะมีมาตรการควบคุมตามมาตรฐานสากลอย่างเข้มงวด ไม่เหมือนบ่อนการพนันตามชายแดน
“กาสิโนไม่ใช่ว่าใครจะเข้าไปเล่นก็ได้ ผมก็เข้าไปไม่ได้ เพราะเป็นนักการเมืองและกลัวว่าจะไปฟอกเงิน”
ใครเชื่อ “ไอ้แก่เลี้ยงแกะ” มีหวัง ออกลูกเป็นควายแหงๆ กาสิโนน่ะ ไม่ต้อง ๑๐% หรอก
แค่ห้อง ๑๐๐ ตารางเมตรก็เหลือเฟือ กำไรเนื้อๆ ไม่ต้องแบ่งใคร ถ่ายทอดสดให้เล่นพนันทางออนไลน์ ก็รวยฉิบหายวายป่วงทั้งโคตร!
เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์น่ะ มันต้องใช้พื้นที่เป็นพันไร่ ๑๐% ของ ๑,๐๐๐ ไร่ ก็ ๑๐๐ ไร่
เอาหัวแม่ตีนตรองซิ ใครที่พูดว่า “๑๐% เท่านั้น” น่ะ มันเป็นพื้นที่กาสิโนถึง ๑๐๐ ไร่ เชียวนะ!?
พ่อพูดแล้ว ลูกก็กอปปี้ตามในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” เมื่อวันอาทิตย์
“เรื่องเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เงินใหม่ที่เข้ามา เงินนี้ไม่ใช้เงินจากรัฐบาล ไม่ใช่เงินจากภาษีพี่น้องประชาชน
แต่เป็นเงินของเอกชนที่จะมาลงทุนก้อนใหญ่ในประเทศเรา เงินลงทุนของต่างชาติที่จะมาลงทุน เหล่านี้ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เพิ่ม
และเงินเหล่านี้ที่เข้ามาจะเอามาหมุนเวียนการเก็บภาษีคนที่เล่นกาสิโน
การสร้างเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เราจะทำตามโมเดลสิงคโปร์ เราไม่อยากมองเป็นมุมว่า เราจะทำเป็นสถานที่กาสิโน โดยเน้นย้ำเฉพาะกาสิโนเท่านั้น”
ก็เจื้อยแจ้วเป็นยายแจ๋วขายปลาร้าปากซอย เงินลงทุนน่ะ แน่ละมันต้องของเขา พอได้กำไร เขาก็ขนเอาออกไป
แต่แผ่นดินธรรม-แผ่นดินทองของไทย จะกลายเป็นแผ่นดินแมงดา,ค้ามนุษย์,มาเฟีย,อาชญากร อีตัว,
สังคม “ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม-ไทยคริสต์” ที่ร้อยรักอยู่ร่วมกันสันติสุข มากล้นด้วยคุณธรรมน้ำใจ จะถูกแทรกให้แตกสลาย
จากเชื้อชั่วร้ายที่แฝงเข้ามา
ทั้งศิลปวัฒนธรรม วัดวาอาราม ขนบทำเนียมประเพณีเอกลักษณ์ไทย เมื่อการพนันเข้ามา จะถูกด้อยค่าจาก “ไทย-เมืองพุทธ” ไปเป็น “ไทย-เมืองกาสิโน”
และที่สำคัญ “กาสิโน” นี่แหละคือ…..
“แหล่งฟอกเงิน” คอร์รัปชัน,เงินกินบ้าน-โกงเมือง, เงินสินบน “ชั้นดี” ของนักการเมืองและนักธุรกิจสีเทา!
“เราจะทำตามโมเดลสิงคโปร์” นั้นน่ะ โถ…แม่คุณ แม่ทูนหัวของบ่าวในคอก ก็ช่างพูดนะ
ก่อนพูด “ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาคอร์รัปชันบ้านเรา” ซะก่อน
ผลสำรวจดัชนีรับรู้การทุจริต ประจำปี ๒๕๖๗ ของ “องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ” จากจำนวนประเทศ ๑๘๐ ประเทศทั่วโลก
คะแนนความโปร่งในด้านทุจริตคอร์รัปชัน สิงคโปร์ได้คะแนนถึง ๘๔ คะแนน สูงเป็นอันดับ ๓ ของโลก
แล้วมาดูไทยเรา คะแนนความโปร่งใสจากคะแนนเต็ม ๑๐๐ ไทยได้แค่ ๓๔ คะแนน แสดงว่าคอร์รัปชันแดกบ้าน-กินเมืองกันฉิบหาย
“ความโปร่งใส” จึงมืดทึบอยู่ในความเลวร้ายอันดับที่ ๑๐๗ ของโลก!!!
ถ้า “สองพ่อลูกตระกูลชิน” ดันทุรังจะเอากาสิโนให้เป็นผลงานของวงษ์ตระกูลให้ได้ละก็ ผมจะแนะให้
เปลี่ยนชื่อเป็น “กาชิโน คอมเพล็กซ์” ซี คนตาบอดเขาอาจโอเค.นะ!
เปลว สีเงิน
๖ พฤษภาคม ๒๕๖๘