ช่วงเย็นวันที่ 30 มิถุนายน 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 แคนดิเดตประธานสภาผู้แทนราษฏร และ ศุภปกรณ์ กิตยาธิคุณ พรรคก้าวไกล ส.ส.พิษณุโลก เขต 5 ขึ้นรถแห่รอบจังหวัดพิษณุโลก ต่อด้วยการปักหลักปราศรัย ณ ลานแอโรบิค สวนชมน่าน โดยกำหนดการรถแห่เริ่มต้นที่เซ็นทรัลพิษณุโลก ถนนสิงหวัฒน์ ถนนเอกาทศรถ วงเวียนรถไฟ มุ่งหน้าเวทีปราศรัยตามลำดับ
บรรยากาศ ณ เวทีปราศรัยใหญ่วันนี้ มีชาวพิษณุโลกให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อพบกับพิธาและปดิพัทธ์อย่างเนืองแน่น ทำให้เกิดการค้าขายอย่างคึกคัก
พิธาเริ่มต้นด้วยการกล่าวขอบคุณที่ทุกคนเดินทางมาต้อนรับ พร้อมขอบคุณทุกความไว้วางใจ สัญญาจะไม่ทำให้ผิดหวังและพร้อมรับใช้ชาวพิษณุโลกอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ว่าที่นายกรัฐมนตรียังยืนยันเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลและให้ความมั่นใจกับประชาชน
โดยระบุว่า ได้ยินแว่วๆ ว่าหวยจะออก 376 แน่นอน จะไม่ออก 376 ได้อย่างไร แค่ในพิษณุโลก อย่างน้อยก็มี ส.ส. ของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย 3 เสียงแล้วที่จะยกมือให้เราจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ นอกจากผู้แทนราษฎรแล้ว ยังมีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากจังหวัดพิษณุโลกอีก 2 คน
ขอให้พ่อแม่พี่น้องชาวพิษณุโลกจับมือกันไว้ให้แน่น ให้กำลังใจสมาชิกวุฒิสภาให้ช่วยกันโหวตเพื่อเดินหน้าประชาธิปไตยของประเทศให้เบ่งบาน ให้พรรคก้าวไกลเข้าไปแก้ปัญหาของบ้านเมือง
พิธา ยังประกาศกลางเวทีปราศรัยว่า ‘หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 มีความเหมาะสมในฐานะแคนดิเดตประธานสภาฯ ของพรรคก้าวไกล เพราะเป็นคนที่มีผลงานดีเด่น มีบทบาทและประสบการณ์ในการเป็นประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ
ได้รับเสียงชื่นชมมากมายในการจัดการการประชุมและการประสานความร่วมมือกับองค์กรประชาชนที่มีเป้าหมายทำให้เกิดการพัฒนาการเมืองไทยในทุกมิติ และเชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนพิษณุโลกและคนทั้งประเทศ อยากให้โอกาสปดิพัทธ์ให้เข้าไปทำหน้าที่ประธานสภาฯ ที่จะเปลี่ยนสภาไทยไปตลอดกาล
โดยปดิพัทธ์ ย้ำความมั่นใจในการเป็นแคนดิเดตประธานสภาฯ ว่า นี่เป็นครั้งแรกของการเมืองไทยที่เราจะเห็นสภาเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่ตนเกิดมา หลายคนมักมองสภาฯ เป็นโรงละครที่ทุกคนไปแสดงละคร กฎหมายผ่านหรือไม่ไม่รู้ ประชาชนเดือดร้อนไม่สน แต่ไปแสดงละครเพื่อจะกลับมาเลือกตั้งใหม่
ทุกท่านทราบหรือไม่ว่างบประมาณสภาฯ 1 ปี มากกว่า 5,000 ล้านบาท แต่การประชุม กลับไม่มีประสิทธิภาพ ตนอยากจะทำให้การทำงานของสภาฯ มีประสิทธิภาพมากกว่านี้
“ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า ส.ส. ที่ท่านเสียภาษีให้เขาเข้าไปกินข้าวในสภาฯ มาประชุมกี่ครั้ง มาสายกี่ครั้ง ลงมติอะไรบ้าง เมื่อผมเป็นประธานสภาฯ ข้อมูลการเข้าประชุม ขาด ลา มาสายของ ส.ส. 500 คน และ ส.ว. จะถูกแสดงให้เห็นในเว็บไซต์ทันที” ปดิพัทธ์ย้ำถึงนโยบายความโปร่งใส
สุดท้าย ปดิพัทธ์กล่าวว่า หากวันที่ 4 ก.ค. เสียงในสภาฯ ส่งให้ตนเป็นประธานสภาฯ ตนก็พร้อมทำงานเป็นประธานสภาฯ ของทุกคน และจะพิสูจน์ผ่านการทำงานให้เห็นว่าคนอายุ 42 ปีสามารถเป็นประธานสภาฯ ที่ทุกคนภูมิใจได้ พร้อมขอคำสัญญาจากชาวสองแควว่าต้องไม่เรียกตนว่าท่าน แต่ให้เรียกหมออ๋อง พี่อ๋อง น้องอ๋อง เหมือนเดิมอย่างที่แล้วมา