๔ ก.ค.ปิดดีลตั้งรัฐบาล – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ทุกอย่างยังเป็นไปตามกำหนด

และตามที่ถูกกำหนดให้เป็น

“พรพิศ เพชรเจริญ” เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แทงหนังสือด่วนมาก ขอเชิญ ส.ส.เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ ๑) ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร

มีระเบียบวาระการประชุมสำคัญคือ

๑.การให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา ๑๑๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

๒.เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

๓.เลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร

ไม่น่าจะมีอะไรพลิกอีกแล้ว

ด้วยความรอบจัดของพรรคเพื่อไทย จะส่ง พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน

เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นของพรรคเพื่อไทย

ส่วนรองประธาน อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

เพราะต้องเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด

หากรองประธานสภาผู้แทนฯ คนที่ ๑ เป็นของพรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนฯ คนที่ ๒ เป็นของพรรคพลังประชารัฐ ก็เรียบร้อยโรงเรียนแม้วครับ

โฉมหน้ารัฐบาลใหม่ปรากฏทันที ไม่ต้องคาดเดาอะไรกันอีก

คือรัฐบาลที่เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ เป็นแกนนำ

กลับกันหากรองประธานคนที่ ๑ หรือ ๒ ตกเป็นของพรรคก้าวไกล คงต้องกลับไปดีดลูกคิดหาสูตรรัฐบาลกันใหม่

เพราะพรรคก้าวไกลยังไม่ถูกตัดออกจากการร่วมรัฐบาลแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม

แต่เห็นทีคงจะยากครับ หากพรรคก้าวไกล เสนอชื่อ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” เป็นประธานสภาผู้แทนฯ ก็เท่ากับเปิดศึกกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง

เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯ และรองทั้ง ๒ ตกเป็นของฝ่ายค้านไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ฉะนั้นโหวตชิงเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯ จึงมันหยด ชนิดกะพริบตาไม่ได้กันเลยทีเดียว

ที่จริงน่าเห็นใจพรรคก้าวไกลพอสมควร ไม่เสนอชื่อคนของพรรค ชิงเก้าอี้ ประธานสภาผู้แทนฯ ก็ไม่ได้ จะไม่เหลืออะไรติดมือเลย

สถานการณ์บังคับให้ต้องเสนอ

แต่สถานการณ์ที่แท้จริงคือ…เช้าวันที่ ๔ กรกฎาคม เขาจัดตั้งรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ โดยไม่มีพรรคก้าวไกล

เพียงแต่เกมนี้ พรรคเพื่อไทย โฉ่งฉ่างไม่ได้ คำตอบอยู่ในคำพูดของ “ชลน่าน ศรีแก้ว”

“…เราในฐานะพรรคอันดับสอง เราก็ร่วมแถลงสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาล เราค่อนข้างระมัดระวัง การที่เราเสนอตำแหน่งประธานสภาฯ นั้น ไม่ใช่แค่ทัวร์ลง แต่ทุกอย่างมาลงที่เพื่อไทยหมดเลย หากเราเสนอชื่อใครออกไปประกบกับพรรคก้าวไกล เราจะถูกประณามมากกว่านี้

และถูกมองว่าเป็นการแข่งทันที ซึ่งเราขอ ไม่ได้แข่ง เป็นคนละความหมายกันเลย

เราขอให้คุณอนุญาตให้เราหรือไม่ คุณจะให้เราหรือเปล่า และเป็นสิทธิ์ของพรรคอันดับหนึ่งในการตัดสินใจ เราจะได้กลับมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไร หากไม่ให้ และกลับมาคิดว่าจะทำงานแบบไหน…”

หมายความว่าเมื่อ พรรคก้าวไกล เสนอชื่อ พรรคเพื่อไทยจะไม่เสนอ แต่ให้ พรรคพลังประชารัฐเสนอคนของพรรคเพื่อไทยแทน

จุดนี้สำคัญมากครับ เพราะมันมาจากดีลตั้งรัฐบาลที่ปิดไปเรียบร้อยแล้ว

หมายความว่า พรรคเพื่อไทย กับพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ตกลงกันเรียบร้อยแล้วในตัวบุคคลทั้ง ๓ คน ว่าใครจะนั่งประธาน และรองประธาน

ที่บอกว่าสำคัญ เพราะหากไม่เคลียร์ เช้าวันที่ ๔ กรกฎาคม จะเต็มไปด้วยความโกลาหล

เพราะนอกจากพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ที่เสนอชื่อแข่งกันแล้ว ขั้วรัฐบาลเดิมก็เสนอเช่นกัน

เอาตัวเลขมากาง

ก้าวไกล ๑๕๐ เสียง

เพื่อไทย ๑๔๑ เสียง

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ๑๘๑ เสียง

“ตาอยู่” เอาไปกินครับ

แต่มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะอย่างที่บอก เช้าวันที่ ๔ กรกฎาคม การจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ลงรายละเอียดว่า ใครจะไปอยู่ในกระทรวงไหน

ช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มนี้ หากจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น ก็จะเป็นเพียงกรณีเดียวคือ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งโอกาสแทบจะเป็นศูนย์

อย่างไรเสียพรรคก้าวไกลไม่มีทางถอย ต้องสู้สุดฤทธิ์ เพราะตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯ สำหรับพรรคก้าวไกลแล้ว สำคัญมาก

เพราะเจตนาการใช้งานจากตำแหน่งประธานสภาฯ ของพรรคก้าวไกลนั้น แตกต่างไปจากพรรคการเมืองอื่นอย่างสิ้นเชิง

จำได้มั้ยครับ ช่วงแรกๆ ของการชิงเก้าอี้นี้ พรรคก้าวไกลให้เหตุผลว่า เพื่อผลักดันกฎหมายของพรรคจำนวน ๔๕ ฉบับตามที่หาเสียงไว้

หลายคนคิดว่านี่คือความอ่อนหัดทางการเมืองของพรรคก้าวไกล

แต่เปล่าเลย เพราะพรรคก้าวไกลมีความคับแค้นจากการผลักดันกฎหมาย แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ แถมยังถูกตีกลับ

ใช่ครับ…ร่างแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ คือหนึ่งใน ๔๕ ฉบับที่หาเสียงไว้

พรรคก้าวไกลมั่นใจว่าหากประธานสภาผู้แทนฯ เป็นของตนเอง การแก้ ม.๑๑๒ จะถูกนำไปอภิปรายในสภาแน่นอน

พรรคก้าวไกลคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จจากการอภิปรายงบประมาณเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ระหว่างสภาฯ พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาแล้ว

ความสำเร็จของพรรคก้าวไกล คือการบิดเบือนและมีการบิดเบือนซ้ำในโซเชียลว่า งบโครงการพระราชดำริก็คืองบของพระมหากษัตริย์

บวกไปบวกมามากกว่า ๓ หมื่นล้านบาท

ทั้งๆ ที่งบส่วนราชการในพระองค์ มีจำนวนกว่า ๘ พันล้านบาท

นี่คือการบิดเบือนที่เกิดมาแล้ว

ไม่มีใครรู้ได้ว่า หากพรรคก้าวไกลผลักดันให้ นำร่างกฎหมายแก้ไข ม.๑๑๒ เข้าสภาฯ ได้สำเร็จ การอภิปรายจะมีการบิดเบือน และเอาไปบิดเบือนต่อในโซเชียลของ “ด้อมส้ม” อย่างไรบ้าง

อย่าลืมนะครับ พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล แทรกซึมเข้าไปในโรงเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยสำเร็จ กว่ารัฐจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว

แค่ร่างกฎหมายที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองนี้ได้เข้าไปถกในสภาฯ พรรคก้าวไกลก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

เพราะรู้ดีว่าถึงเวลาโหวตไม่มีทางผ่าน ไม่มีพรรคการเมืองอื่นเอาด้วย

แต่จะเป็นการการันตีว่า ต่อไปร่างกฎหมายลักษณะนี้สามารถเอาไปถกในสภาฯ ได้

ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง

ครับ…มาถึงบทสรุป นี่คือเหตุผลหลักที่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯ ต้องไม่ตกเป็นของพรรคก้าวไกล

0 replies on “๔ ก.ค.ปิดดีลตั้งรัฐบาล – ผักกาดหอม”