15 พฤศจิกายน 2565 เวลา 08.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวประเด็นผลการหารือกับนายมาร์ทิน ค็อคเค่อร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเศรษฐกิจของออสเตรีย ก่อนการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย-ออสเตรีย ใน 10 สาขา เย็นวานนี้ (14 พ.ย.65)
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้มีโอกาสลงนาม MOU เพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทยกับออสเตรียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทยกับออสเตรียมีมาถึง 153 ปีแล้ว แต่ด้านการค้า และเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมยังไม่เกิดขึ้น
ตัวเลขการค้า ปีที่แล้วมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับออสเตรีย รวมกัน 736 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 23,500 ล้านบาท ก่อนการลงนามตนได้หยิบยกประเด็นหารือกับท่านรัฐมนตรีออสเตรีย 3 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง ตนขอให้ท่านรัฐมนตรีออสเตรียช่วยสนับสนุนประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด Specialize Expo 2028 ที่จังหวัดภูเก็ต ประเด็นที่สอง ขอให้ออสเตรียช่วยสนับสนุน FTA ระหว่างไทยกับอียู เพราะออสเตรียเป็นสมาชิกอียู
ประเด็นที่สาม ตนถือโอกาสเชิญชวนนักลงทุนจากออสเตรียมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นโดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ และยานยนต์ไฟฟ้าอีวี ในส่วนของการทำแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ นอกจากนั้นได้เชิญให้ออสเตรียร่วมงานการแสดงสินค้าสำคัญของไทย เช่น งาน STYLE Bangkok 2023 งาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 ซึ่งเกี่ยวกับอาหารและงาน Bangkok Gem & Jewelry Fair งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
ท่านรัฐมนตรีตอบรับไปพิจารณาและท่านแจ้งประเด็นสำคัญให้ทราบคือ “ออสเตรียสนใจมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากที่ลงทุนอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันนี้ออสเตรียลงทุนอยู่ในประเทศไทยประมาณ 35,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 12,000 คน และสนใจการลงทุนด้านการผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับไอที นอกจากนั้นสนใจลงทุนเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการกำจัดขยะเพื่อนำไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ไทยในฐานะสมาชิก BIE (Bureau International des Expositions หรือองค์การนิทรรศการนานาชาติ)ได้ยื่นเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 ที่จังหวัดภูเก็ต โดยมีหัวใจสำคัญของการจัดงานคือ การใช้พื้นที่พัฒนาสู่ศูนย์กลางด้านสุขภาพครบวงจร เพื่อนำเสนอภูเก็ตในฐานะจุดหมายปลายทางสุขภาพชั้นนำของโลก และส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ไทยมีศักยภาพ ซึ่งจะจัดให้มีการเลือกประเทศเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวในเดือนมิถุนายน 2566
