เปลว สีเงิน
๑๒ ตุลา.รู้กัน
ว่าการควบรวมกิจการระหว่าง “ทรูกับดีแทค” จะลงเอยแบบไหน?
เพราะเมื่อวาน (๒๓ กย.๖๕๖) กสทช.แถลง
๑๒ ตุลา.ได้ฤกษ์ คณะกรรมการกสทช.จะประชุมชี้ขาดให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำกันไปซะที
หลังจากยืดเยื้อ ด้วยกสทช.ไม่แน่ใจมานาน ในกรอบอำนาจชี้ขาด ประเด็นควบรวม
ความเห็นผม ในทัศนะอนุวัตรตามยุค “ดิสรัปท์”
รีบๆ ให้เขา “ควบรวม” กันไปเถอะ!
ยิ่งช้า ยิ่งเสียโอกาส ทั้งเขาคือธุรกิจ “ภาคเอกชน” และทั้งเราคือ “ภาครัฐ”
การปล่อยยาวนาน กสทช.ไม่เดือดร้อนก็จริง เพราะไม่มีต้นทุนธุรกิจ แต่คนทำธุรกิจเขาเดือดร้อน มีต้นทุน แต่ละวินาทีมีค่าที่ต้องจ่ายทั้งนั้น
ดังนั้น ผมไม่เห็นเหตุผลในด้านว่า ให้เขาควบรวมแล้ว จะทำให้เกิดการผูกขาด แล้วขึ้นราคาค่าบริการตามใจชอบได้แต่อย่างใด
เพราะตรงนี้ มันเป็น “หน้าที่กสทช.” ที่ต้อง “ควบคุม” โดยตรง!
ควบคุมค่าบริการให้เป็นธรรม
ส่วนการแข่งขันด้านธุรกิจ กสทช.ไม่ต้องไปควบคุมเขา ทำหน้าที่ “กำกับดูแล” ให้เขาปฏิบัติตามกฎระเบียบก็พอ
แล้วคอยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้เขา นั่นแหละคือความเป็นธรรม ระหว่าง “ผู้จ่าย-ผู้รับ” เงินภาษี
เรียกว่า “ภาครัฐ” มีหน้าที่ส่งเสริม-บริการ “ภาคเอกชน”
ไม่ใช่ไปควบคุมธุรกิจภาคเอกชน
คอยดูแลภาคเอกชนให้เขาทำธุรกิจคล่องตัว ยิ่งเขาเจริญเติบโต เขาก็ต้องยิ่งพัฒนา เพื่อแข่งขันกันในระบบตลาดเสรี
เมื่อต่างค่าย-ต่างแข่งขัน การลงทุนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น!
นั่นหมายถึง “ภาครัฐ” ก็ได้ประโยชน์ คือ “เก็บภาษี” จากเขาได้มากขึ้น!
เนี่ย ในระบบตลาดเสรี อย่าไปทำเรื่องง่ายให้มันเป็นเรื่องยาก จะไปจ้องควบคุมเขาทำไม
ให้เขาแข่งขันกันนั่นแหละดี ยิ่งในธุรกิจเทคโนโลยีไอทีด้วยแล้ว มันพัฒนาเร็วมาก
ปีนี้ ว่าล้ำหน้า พอถึงปีหน้า อ้าว…เทคโนโลยีมันล้ำไปยิ่งกว่าอีกแล้ว ก็ต้องลงทุนอีก
การลงทุนยุคนี้ จะให้เสถียรทางธุรกิจ ต้องควบคู่กับคำว่า “พัฒนา-วิจัย-แข่งขัน” เดี่ยวๆ แบบข้ามาคนเดียว ยุคนี้ มันยากแล้ว
ยุคก่อนละก็ใช่ “โตแล้วแตก” แยกกันไปรวย”
แต่ยุคนี้ เมื่อวัฎฎจักรหมุนสู่ดิสรัปท์ “แยกกันตาย” ต้องควบรวมกัน “จึงโต”
เข้าทำนอง “เก่งคนละด้าน” แต่ “ต่างคน-ต่างเก่ง” มันก็เก่งแคระอยู่แค่นั้น
แต่ถ้านำที่เก่งแต่ละด้านมารวมเข้าด้วยกัน เก่งรวมเก่ง มันก็จะพัฒนาไปถึงระดับ “ยักษ์ใหญ่” ได้
เดี๋ยวนี้ การแข่งขัน อย่ามองแค่ในประเทศ เราต้องมองไกลออกไปถึงอาเซียน-เอเชีย และในความเป็น worldwide โน่นแล้ว
ทางเลือกในระบบเทคโนโลยีไอทีวันนี้ มันมีมากกว่าจะไปจ้องอยู่แค่ ดีแทค ทรู และเอไอเอส
โลกมันกว้าง แล้วเราจะบีบทางให้แคบทำไม ให้ทรู-ดีแทค เขาควบรวมนั่นแหละดี
ควบรวมแล้วระบบสื่อสารไอทีไทยจะได้แข่งขันกัน กว้างไปถึงระดับ “วิจัย-พัฒนา” ยิ่งๆ ขึ้น
กสทช.เพียงแต่ “ควบคุม” ค่าบริการ และรักษาผลประโยชน์รัฐ-ประโยชน์ประเทศ ให้เคร่งครัดก็แล้วกัน!
อย่าว่าแต่การควบรวมธุรกิจเลย……….
ในระบบเสรีประชาธิปไตย รัฐบาลยังต้อง “ควบรวม” พรรคเล็ก-พรรคน้อย “ตั้งรัฐบาล” เลย เห็นมั้ย?
เกือบทุกประเทศแหละ
ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส มาเลย์ ควบรวมจึงสามารถ “ตั้งรัฐบาล” บริหาร-พัฒนชาติบ้านเมืองได้
มองในมุมกลับ แล้วทำไมเราจะไปห้ามภาคเอกชนควบรวม หือ?
“ผูกขาด-ไม่ผูกขาด” มันอยู่ที่ผู้ควบคุมกฎหรอก!
พูดกันตรงๆ แบบไม่อวยกันเอง……….
สังคมชาติจะพัฒนา ต้องเปิดกว้าง คนไทย-ประเทศไทยน่ะ ที่เก่งระดับอัจฉริยะมีมาก
ยิ่งหัวสมองพลิกแพลงแปลงตำราให้งานออกมาเป็นหนึ่ง “ด้านฝีมือ” ด้วยละก็
ไทย “ไม่เป็นสอง” รองใครในโลกเลย!
แต่ตัวนำ คือผู้สนับสนุนคนเก่งระดับอัจฉริยะให้ระเบิดความเก่งออกมานั้น มันไม่ค่อยมี
เพราะอะไร?
ประการแรก ภาครัฐต้องมีนโยบาย มีเป้าหมาย สนับสนุน ระบบ “คิดแหกโลก”!
การ “ย่ำเท้า-ติดยึด” กับความคิดเดิมๆ รวยแบบเดิมๆ โดยไม่ยอมลงทุนกับงานวิจัย-ฝึกฝน-ค้นคว้า ลองผิด-ลองถูก กับการคิดค้นใหม่ๆ
ไปไม่รอดหรอก!
อยากให้ดู ปตท.เป็นโมเดล เขาไม่เคยหยุดอยู่กับที่ ไม่พอใจแค่ตัวเลขกำไรปีละแสนล้านจากธุรกิจน้ำมัน
เพราะเขามองกว้าง-มองไกล ไม่มองแค่บริษัทปตท. แต่มองไปถึง “ศักยภาพประเทศ” ในระดับ worldwide
ทุกวันนี้ จึงเห็น ปตท.ดิสรัปท์รูปแบบ “ร่วมกันโต” เอาเก่งเข้ามาผนวกเก่งเรา แล้วแตกแขนง “ข้ามสายพันธุ์”
จากธุรกิจน้ำมันและปิโตรเลียม…….
ไปสู่อีกธุรกิจ ที่เรียกว่าธุรกิจ “อาหารและยา” ลงทุนด้านวิจัย-พัฒนา ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมขั้นสูง “เต็มสูบ”
ปตท.ลงทุนลักษณะควบรวมบริษัทชั้นนำแต่ละสาขาธุรกิจในต่างประเทศ ทั้งในเอเชีย ยุโรป สหรัฐฯ ครอบคลุมทั้งการผลิตและการตลาดไปทั่วโลก
โดยเฉพาะอาหาร “โปรตีนจากพืช” และสินค้าประเภท ชีววิทยาศาสตร์ สาขา Life Sciences
รวมทั้งยาประเภทชีววัตถุคล้ายคลึง อันมีกระบวนการผลิตซับซ้อนในเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งตอบโจทย์ “สังคมโลกในอนาคต” โดยตรง
นั่นคือ ทุกวันนี้ ปตท. “ก้าวนำ” ไปสู่สังคมอนาคตในทุกด้าน และปตท.จะเป็น “ธงนำ” ประเทศ สร้างทั้งชื่อเสียง สร้างทั้งรายได้เข้าประเทศมหาศาล!
ผมถึงบอก เมืองไทยเป็นเหมือน “ถ้ำเสือ-วังมังกร”
แต่ถูกปิดขังไว้ด้วยผู้นำบริหารชาติขาดวิสัยทัศน์ เพิ่งมายุคพลเอกประยุทธ์นี่แหละ
“เปิดถ้ำ-เปิดวัง” ให้เสือและมังกรได้แสดงศักยภาพ เพียง ๘ ปี จึงเห็นพัฒนาการประเทศมิตินำโลก ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก้าวไปล้ำ
ประหนึ่ง “ก้าวกระโดด” ทีเดียว จาก ๘๐-๙๐ ปี ที่โบ๋เบ๋!
ตัวอย่างง่ายๆ ด้านศักยภาพคนไทย
ญี่ปุ่นมอบ “ซากรถไฟ” ดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 จำนวน ๑๗ คัน ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
เป็นของบริษัท Hokkaido Railway Company (JR HOKKAIDO) เขาใช้มา ๔๐ กว่าปีแล้ว ปลดระวาง ทิ้งเป็นซากให้สนิมขึ้นอยู่ที่ท่าเรือ
ประกอบด้วย รถดีเซลรางปรับอากาศ แบบมีห้องขับสูง ๔๐ที่นั่ง ๘ คัน แบบไม่มีห้องขับ ๖๘ ที่นั่ง ๘ คัน แบบมีห้องขับต่ำ ๕๒ ที่นั่ง ๑ คัน
ถึงวันนี้ โดยวิศวกรไทย “โรงงานมักกะสัน” ปรับปรุงเสร็จ ๓ คัน อล่องฉ่อง อล่างฉ่าง ทดลองวิ่งคงเห็นกันแล้วตามข่าว
มูลค่าเดิม ตู้ละ๘๐-๑๐๐ ล้าน แต่เขาให้ฟรี
เราเสียค่าขนย้ายมาไทย ๔๐ กว่าล้าน ลงทุนปรับปรุงตกแต่งอีกตู้ละ ๒-๓ แสน เรียกว่าคุ้มเกินคุ้ม
เมื่อต้นเดือนกันยา. “นายนิรุฒ มณีพันธ์” ผู้ว่าฯ รฟท.นำสื่อมวลชนทั้่งไทย-ญี่ปุ่น มี NHK และยูทูปเบอร์ชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบรถไฟมาร่วมด้วย
ก็ลองฟังความคิดเห็นคนญี่ปุ่นเมื่อเห็นโฉมหน้า Kiha ฝีมือวิศวกรไทยสร้างสรรค์ กันซักหน่อยปะไร
จาก Touch Studio ในยูตุ๊บ ดังนี้
…………………………
“ฉันสัมผัสได้ถึงจิตวิญญานของช่างบำรุง หลังจากที่ได้เห็นตัวถังรถไฟที่มันวาวแบบนี้ มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความเคารพรถไฟมากขนาดไหน
ฉันคิดว่า เราสามารถมีมิตรภาพที่แท้จริงกับคนที่มีค่านิยมคล้ายกันได้
………………………
เมื่อมองย้อนกลับไปตอนที่มันถูกทอดทิ้งไว้ที่ท่าเรือในฮอกไกโด ตอนนี้ฉันรู้สึกประทับใจมากที่มันได้รับการปรับปรุงจนสวยงาม
วิศวกรไทยเก่งมาก Kiha จากดินแดนหิมะสู่ดินดนทางใต้ จงวิ่งต่อไปในประเทศไทย
………………………………
วิศวกรของการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ซ่อมรถรวมถึงซ่อมแซมส่วนที่เป็นสนิมจนแล้วเสร็จ ฉันคิดว่ามันเป็นงานที่น่าทึ่งมาก ฉันภาวนาขอให้คนไทยใช้งาน Kiha กันไปนานๆ อย่าได้ทอดทิ้งมัน
…………………………..
ขอบคุณมากที่ทำให้มันกลับมาสวยงามอีกครั้ง ขอบคุณการทำงานอย่างหนักของวิศวรชาวไทย ตอนนี้เสร็จไป ๓ คัน ยังเหลืออีก ๑๗ คัน
ฉันอยากให้มันวิ่ง…ไม่เพียงแต่เป็นรถไฟท่องเที่ยวเท่านั้น แต่อยากให้เป็นรถไฟด่วนปกติที่เชื่อมระหว่างเมืองใหญ่ๆด้วย
……………………………..
สีขาวและสีน้ำเงิน บวกกับตัวบอดี้สี่เหลี่ยมจตุรัสที่ทำมุม ๙๐ องศา มันจึงให้ความรู็สึกเหมือนกันดั้ม และตราสัญลักษณ์ที่ดูคล้ายกับภาพของกองกำลังสหพันธ์ มันดูดีและดูใหม่มาก นี่เป็นวีดิโอที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจเมื่อได้ดู
…………………………………
ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้ การได้เห็นการรถไฟแห่งประเทศไทยปรับปรุงอย่างจริงจังแบบนี้มันน่าทึ่งมาก
พวกเขามีวิศวกรที่ดีจริงๆ นับจากนี้ ทุกคนมั่นใจได้เลยว่ารถไฟผลิตในญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะพวกเขายังคงตัวอักษรญี่ปุ่นเอาไว้ พวกเขาจึงตัดสินใจแบบนี้
ฉันมีความสุขที่ได้เห็นชื่อ Kiha183 เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนเดิม
———————-
รถไฟเสียผุพังเป็นเรื่องธรรมดา แต่การฟื้นคืนขึ้นมา แถมวิ่งได้แบบนี้ มันไม่ธรรมดาเลยนะ ตอนอยู่ที่ฮอกไกโด รถเต็มไปด้วยสนิม
แต่พอได้รับการฟื้นฟูแบบนี้มันเลยดูสวยงามมาก เอาละ…ผมคือ Kiha มาจากดินแดนที่เย็นยะเยือก ได้เดินทางมาสู่ดินแดนเขตร้อน แต่ผมก็ยังสบายดี
————————
ฉันชอบไฟหน้ารถที่ย้ายออกจากบริเวณคนขับและตัวอักษร Kiha ข้างตัวรถด้วย ภายนอกค่อนข้างสะอาด ส่วนภายในดูเหมือนจะได้รับการปรุงใหม่บางส่วน
ฉันไม่นึกว่าวิศวกรไทยจะสามารถชุบชีวิต Kiha 183 ที่พังแล้วให้กลับมาได้อย่างหมดจดขนาดนี้ ฉับแทบไม่เชื่อสวายตาเลย
…………………………..
โรงงานมักกะสันสุดยอดมาก ตัวรถสวยมหัศจรรย์จริงๆ นี่ใช่ JR Hokkaido จริงๆหรือเปล่า?
……………………….
ครับ……
นี่ขนาดรกด้วยสวะชังชาติ ไทยยังโชติช่วงในสายตาชาติอื่นขนาดนี้ ถ้ากวาดขยะทำปุ๋ยได้หมดละก็
ไทยจะไปไกลระดับโลกเชียวแหละ!
เปลว สีเงิน
๒๔ กันยายน ๒๕๖๕