แผน “ทัพไทย” ร้ายลึก #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

เจรจา….ก็เจรจากันไป

รบ…ก็รบกันไป

ถามว่า “แล้วพิพาทไทย-เขมร มันจะไปจบกันตรงไหน?”

คำตอบคือ “จบที่เจรจา”

แล้วเมื่อไหร่?

“เมื่อเขมรทำตาม ๓ เงื่อนไขที่ไทยเสนอและยอมรับแผนที่มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ ในการปักปันเขตแดน”

“เขมรจะยอมหรือ?”

ก็เรื่องของเขมร เรื่องของไทย คือ เดินหน้ายึดแผ่นดินไทยคืนและทลายแหล่งสแกมเมอร์, แหล่งค้ามนุษย์ในเขมร ช่วยโลกกำจัดภัยให้มนุษยชาติ

“เห็นประชุม GBC กันมา ๒ วันแล้ว ที่จันทบุรี เขมรจะเกหรือจะหมอบ?

“ยังอยู่ในขั้นคณะทำงานทั้ง ๒ ฝ่ายคุยกัน ผลสรุปจะออกมายังไง ก็ต้องรอ ๒๗ ธันวา.ที่ รัฐมนตรีกลาโหมฝ่ายไทย “พลเอกณัฐพล นาคพาณชย์” กับรัฐมนตรีกลาโหมเขมร “พลเอกเตีย เซรยฮา” จะเป็นตัวชี้ขาด”

“ดูแนวโน้มจบหรือรบต่อ?”

“จบ ๒% ส่วนรบต่อ ๙๘%

“อ้าว…ไหงเป็นงั้นล่ะ?”

มันเป็นงี้ไง กำลังประชุมเพื่อหาทางจูบปากกันแท้ๆ ปรากฎว่า ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่เขมรฝังไว้ที่ปราสาทตาควาย ขาขาดอีก เป็นรายที่ ๙

“ส.อ.นิติธรรม ศรีคำแซง” สังกัดกองพันทหารราบที่ ๒๒ กองพลทหารราบที่ ๖ และเจ็บอีก ๑ นาย “จ.ส.อ.อำนาจ ทัศสมบัติ”

ทำเอาวงประชุมภาคบ่าย “ล่มปากอ่าว” ไปเลย!

จากที่ฝ่ายเขมรขอพักกลับไปกินข้าว บอก “บ่ายจะกลับมาประชุมต่อ” พอมีข่าวทหารไทยขาขาดจากกับระเบิดเท่านั้นแหละ

คณะเขมร ไม่กล้ากลับมาเผชิญหน้า หายจ้อยไปเลย!

แล้วอย่างนี้ จะรักกันได้อย่างไร มันก็ต้องกระทืบสั่งสอนกันต่อไป จนกว่าเขมรจะมืออ่อน-ตีนอ่อน

ช่วง ๓-๔ วัน ก่อนประชุม GBC จะสังเกตเห็นว่า ฝ่ายเขมรถล่มไทยหนัก หวังชิงพื้นที่คืน จากที่ไทยยึดกลับมา

เขมรนอกจากถูกฝ่ายไทยสวนกลับหงายท้องหงายไส้แล้ว ทางแนวรบด้านอีสานใต้….

นักรบไทยกลับตีรุก สามารถ “สถาปนาพื้นที่ของไทย” ได้เพิ่มอีกหลายแห่ง

เป้าหมายทางยุทธการของทัพไทยครั้งนี้ อยู่ตรงไหน ท่านสังเกตกันบ้างมั้ย?

ที่เห็นชัดๆ ไทยไม่คิดรุกรานหวังด้วยยึดครองแผ่นดินเขมรเลย ในทางเดียวกัน ……

แผ่นดินไทยที่เขมรรุกล้ำเข้ามายึดครอง ถึงเวลาที่ไทยต้องตีเอากลับคืนมาให้หมด ตามแผนที่ มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐!

ก็ตามยุทธศาสตร์ชั้นปฐม คือ ไม่รู้ว่าฝ่ายเจรจา จะตกลงหรือไม่ตกลง แต่ฝ่ายรบ ต้องรบ “ยึดพื้นที่” ตุนไว้ให้ได้มากที่สุด

เพราะถ้าตกลง “หยุดยิง” ก็เหมือน “หยุดเกมพนัน”

“ใครได้มาก-ใครเสียมาก” ก็เงินสุทธิในกระเป๋านั่นแหละ!

ผมอยากให้อ่านนี่….

……………………………………..

“คัดข่าว”

ไทยจะแช่แข็งพื้นที่

เท่าที่ได้ยินมา พื้นที่ ที่ไทยยึดสถาปนาไปแล้ว จะไม่มีการถอย ไม่ว่ากัมพูชาจะยอมรับหรือไม่

“หากประกาศเป็นพื้นที่ทางการไม่ได้ ไทยจะแช่แข็งพื้นที่”!

“การแช่แข็งพื้นที่” (บางครั้งเรียกสั้นๆ ว่า”แช่แข็ง”)ในบริบทข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หมายถึง

นโยบายหรือกลยุทธ์ในการรักษาสภาพสถานะปัจจุบันของพื้นที่พิพาทไว้อย่างถาวร

โดย “ไม่ยอมถอยกำลังทหาร” ไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ และไม่ยอมรับการประกาศหรือการอ้างสิทธิอย่างเป็นทางการ จากฝ่ายตรงข้าม

ความหมายโดยละเอียด:

– **รักษาการควบคุม de facto**: ฝ่ายไทย จะตรึงกำลังทหาร สถาปนาที่มั่นให้แข็งแรง

ดัดแปลงภูมิประเทศเพื่อป้องกันและรักษาการยึดครองพื้นที่ที่ได้ควบคุมไว้แล้วในทางปฏิบัติ

แม้จะยังไม่สามารถประกาศเป็นพื้นที่ทางการ (เช่น ประกาศเป็นส่วนหนึ่งของไทยอย่างเป็นทางการ) ได้

เพราะเป็นพื้นที่พิพาทที่ยังไม่มีข้อตกลง “ปักปันเขตแดน” ชัดเจนหรืออาจขัดกับ “คำตัดสินศาลโลก” ในบางกรณี

– **ไม่ถอยไม่ว่าใครยอมรับหรือไม่**: ไม่ยอมถอนกำลังออก แม้กัมพูชาจะไม่ยอมรับ หรือแม้ชุมชนนานาชาติจะกดดัน

เพราะถือว่า “เป็นการรักษาอธิปไตยและป้องกันการรุกคืบของอีกฝ่าย”

– **จากสถานการณ์ปัจจุบัน(ปี 2568)**: ในความขัดแย้งชายแดนล่าสุด ฝ่ายไทยได้ยึดและควบคุมพื้นที่พิพาทหลายจุด

(เช่น ช่องอานม้า, เนิน 350, ปราสาทตาควาย, ภูมะเขือ, ช่องบก เป็นต้น) โดยประกาศว่า “สถาปนาความมั่นคง ดัดแปลงที่มั่นให้แข็งแรงและตรึงกำลังในพื้นที่”

ซึ่งคือการ “แช่แข็ง” สถานการณ์ไว้ เพื่อไม่ให้กัมพูชากลับเข้ามาควบคุมได้อีก แม้การเจรจาหยุดยิงหรือ GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป) จะเกิดขึ้น แต่ไทยยืนยัน ไม่ถอยจากพื้นที่ที่ยึดได้”

ที่มาของแนวคิดนี้:

แนวคิดนี้ คล้ายกับ “freeze the status quo” ในข้อพิพาทระหว่างประเทศทั่วไป

(เช่น ในพื้นที่พิพาทที่ยังไม่ปักปันเขตแดนชัดเจน (เช่น รอบปราสาทพระวิหารที่มีพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่ศาลโลกไม่ตัดสินชัด)

ฝ่ายหนึ่ง จะพยายามรักษาการควบคุมจริงบนพื้นดินไว้ เพื่อใช้เป็นแต้มต่อในการเจรจาในอนาคต

ในมุมไทย มักมองว่าเป็นการป้องกันไม่ให้กัมพูชา “รุกคืบเชิงพื้นที่” (เช่น สร้างชุมชน ถนน วัด) ต่อไป

ส่วนฝ่ายกัมพูชามองว่า “เป็นการบุกรุก”

สรุปคือ ถ้าประกาศเป็นพื้นที่ไทยอย่างเป็นทางการไม่ได้ (เพราะพิพาท) ก็จะ “แช่แข็ง” ไว้แบบนี้

โดยตรึงกำลังรักษาการควบคุมไว้อย่างถาวร ไม่ถอยและไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์

พอเข้าใจและเห็นไรลางๆ กันบ้างแล้วใช่มั้ย และลองอ่านนี่ ที่ว่าลางๆ อาจกระจ่างในความคิด

……………………………………..

#แนวรบเขาพระวิหาร

แนวรบนี้ยังดุเดือดแต่เช้าของวันนี้ (๒๕ ธ.ค.)เขมรใช้เขาพระวิหารเป็นฐานยิงอาวุธสนับสนุนใส่ห้วยตามาเรีย ช่องเฒ่า พลาญหินแปดหิน ภูมะเขือ และผามออีแดง

เมื่อวาน ปะทะเดือด มีทหารพรานและตำรวจตชด.ได้รับบาดเจ็บ ทหารเขมรใช้พื้นที่เขาพระวิหาร เป็นฐานยิงอาวุธหนัก

ทหารไทยใช้ปืนใหญ่ถล่มเข้าไปทั้งวัน  วันนี้ตั้งแต่เช้าทหารเขมรได้ขนกำลังขึ้นมาปิดใว้ เพื่อไม่ให้ทหารไทยรุกคืบเข้าไกล้เขาพระวิหารได้ง่ายๆ

……………………………….

ถ้าดูแผนที่ จุดต่างๆ ที่เขมรพยายามชิงคืนจากไทย จะเป็นเป็นเส้นทางขึ้นสู่ “ตัวปราสาทพระวิหาร”

แสดงว่า ไทยจะยึด “ประสาทพระวิหาร” คืนใช่ไหม?

คำตอบคือ “ไม่ใช่เลย”

“ตัวปราสาท” ศาลโลกตัดสินให้เป็นของเขมรไปแล้ว เราก็ต้องเคารพคำตัดสิน

แต่ศาลฯ ตัดสินให้เฉพาะ “ตัวปราสาท” เท่านั้น

ส่วนพื้นที่รอบตัวปราสาท ๔.๖ ตร.กม.ศาลฯ ไม่ชี้ว่าเป็นพื้นที่ของฝ่ายใด ให้ไปตกลงกันเอง!

เรื่องนี้มันยาวมากว่า ๖๓ ปีแล้ว ฉะนั้น เพื่อเข้าใจในแต่ละขั้นตอน โปรดอ่านนี้

“ข่าวทหาร”

ปิดช่อง “คานม้า” ตัดเส้นทางลำเลียงขึ้น “ปราสาทพระวิหาร” จากฝั่งกัมพูชา …

25 ธ.ค.68 เพจกองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อความว่า ปฐมเหตุความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตร.กม. และดินแดนที่ไทยสูญเสียในอดีต

1.ปฐมเหตุแห่งข้อพิพาท :คดีเขาพระวิหาร

ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา มีจุดเริ่มต้นสำคัญจากกรณี  “ปราสาทพระวิหาร” เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” (ICJ)

ฝ่ายไทยในขณะนั้น เข้าร่วมกระบวนการด้วยเชื่อว่า “เป็นศาลแห่งความยุติธรรม” แต่ผลลัพธ์กลับสะท้อนความเป็น “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” มากกว่าการพิจารณาตามภูมิประเทศจริง

คำพิพากษา ปี พ.ศ. 2505 มี 3 ประเด็นหลัก

  1. ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา
  2. ไทยต้องถอนกำลังออกจากบริเวณตัวปราสาท
  3. ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปหลังปี 2497

ข้อสำคัญ: ศาลไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดนและไม่เคยระบุพื้นที่รอบปราสาท

2.พื้นที่ 4.6 ตร.กม. : ช่องว่างของคำพิพากษา

คณะรัฐมนตรีไทย ในปี 2505 ตีความว่า “กัมพูชามีสิทธิ เฉพาะตัวปราสาท”

ไทยจึงล้อมลวดหนาม “รอบปราสาท” อย่างแคบที่สุด

แต่กัมพูชากลับใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นฐานอ้างสิทธิ ซึ่งหากยึดตามนั้น ไทยจะสูญเสียดินแดนจำนวนมาก รวมถึง

  • ภูมะเขือ
  • พลาญอินทรี
  • ช่องคานม้า
  • โบราณสถานตลอดแนวชายแดน
  • และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในอ่าวไทย

ผลคือ การเกิด “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร”

3.การใช้มรดกโลกเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ปี 2549–2551 กัมพูชาพยายามนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยรวมพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แม้ไทยจะยืนยันให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะ “ตัวปราสาท”

วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดย “ไม่ครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตร.กม.”

แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้เริ่มปะทุแล้ว

4.ความรุนแรงและการรุกคืบ (2551–2554)

  • ต.ค. 2551 – ปะทะบริเวณห้วยตานี–ภูมะเขือ
  • เม.ย. 2552 – ภูมะเขือ–ผามออีแดง
  • ก.พ. 2554 – สงคราม 4 วัน ใกล้ปราสาทพระวิหาร
  • เม.ย.–พ.ค. 2554 ปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม กัมพูชาดำเนินการรุกคืบเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ
  • สร้างชุมชน
  • สร้างถนนคอนกรีต
  • สร้างวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ
  • เชื่อมเส้นทางขึ้นช่องคานม้า–พลาญอินทรี–ตัวปราสาท

ทั้งหมด เป็นการ “ละเมิด MOU43” อย่างชัดเจน

5.คำพิพากษาตีความ ปี 2556 :ไม่ได้ให้ 4.6 ตร.กม.

กัมพูชายื่นคำร้องให้ ICJ ตีความใหม่ โดยศาลโลกมีคำตัดสินว่า

  • ไม่ยกพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชา
  • ภูมะเขือ “ไม่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร”
  • แต่เห็นว่า ไทยล้อมพื้นที่ ชิดตัวปราสาท “แคบเกินไป”

อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ระบุแนวเขตที่ชัดเจน

และโยนภาระให้ “สองประเทศ” เจรจาเอง

6.ความจริงเชิงยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน

ตลอดมา กัมพูชาใช้ทุกวิธีทั้งการแทรกซึม การตั้งฐานทหาร อ้างการลาดตระเวนร่วม ค่อยๆ ขยายพื้นที่ทีละนิด พื้นที่สำคัญที่ถูกคุกคาม ได้แก่

  • พลาญอินทรี
  • ช่องคานม้า
  • ห้วยตามาเรีย
  • ภูมะเขือด้านหน้าผา
  • ช่องโดนเอาว์
  • พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน

ฐานยิงและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งเขาพระวิหาร ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อกำลังพลไทย

7.สิทธิในการป้องกันตนเองของไทย

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense)

และทำลายภัยคุกคาม ที่คุกคามกำลังพลและอธิปไตย

เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนคือ….

“สถาปนาอำนาจรัฐไทยตามแผนที่ 1:50,000” ปิดช่องคานม้า “ตัดเส้นทางลำเลียงขึ้นปราสาท” จากฝั่งกัมพูชา

……………………………….

สรุปจบ-ครบความ

ไทยไม่ต้องการยึด “ตัวปราสาทพระวิหาร” คืน

แต่ต้องการเอาพื้นที่รอบตัวปราสาท ๔.๖ ตร.กม.ซึ่งอยู่ในเขตไทย ตามแผนที่มาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ คืน

ยุทธการชิงพื้นที่รอบตัวปราสาทจึงดุเดือดเลืดพล่านตอนนี้

เมื่อไทยสถาปนาพื้นที่ ภูมะเขือ ช่องคานม้า ห้วยตามาเรีย วัดแก้วสิกขาฯ พลาญอินทรี ได้เบ็ดเสร็จ

“ไม่ยึด” ก็เท่ากับ “ยึด”

เพราะเขมร “หมดเส้นทาง” ขึ้นไปบนตัวปราสาทตลอดกาล!

เว้นแต่ “ฮุนเซน” นุ่งผ้าเตี่ยวเหาะได้!

เปลว สีเงิน

๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
เมื่อ “อนุทินอบรมเด็ก” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ไม่ต้องเข้าเครื่อง “จับเท็จ”……. แค่อาการ “ปากแข็ง-ขาสั่น” ของเพื่อไทย ก็เท่ากับรับสารภาพอยู่ในตัวแล้วว่า ที่โม้ จะ “แลนด์สไลด์” นั้น...
Read More
0 replies on “แผน “ทัพไทย” ร้ายลึก #เปลวสีเงิน”