ผักกาดหอม
น่าจะจบเร็วกว่าที่คิด
ดูรูปการณ์แล้ว หลังจากทีมกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคำร้องให้วินิจฉัยการเป็นนายกฯ ๘ ปี ไปเรียบร้อยก็น่าจะนับถอยหลังได้เลย
ถือว่าส่งเร็วกว่ากำหนดที่วางไว้ภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
นี่แค่ประมาณ ๑๐ วันเองครับ
หลังจากนี้ อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะนัดฟังคำวินิจฉัยเมื่อไหร่
การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบไต่สวน
หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการใช้ดุลพินิจพิจารณาพยานหลักฐานได้อย่างกว้างขวาง ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ศาลอาจเรียกพยานมาไต่สวนเพิ่มเติ่ม
ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพอสมควร
หากศาลรัฐธรรมนูญมองว่า กรณีนายกฯ ๘ ปีเป็นเพียงปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียกพยานหลักฐาน ก็สามารถวินิจฉัยได้ทันที
ก็จบเร็วครับ
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นปัญหาในข้อกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญอาจเรียก พยานหลักฐานเพิ่มเติมก็ได้
กรณีนายกฯ ๘ ปี ศาลรัฐธรรมนูญได้ให้ “มีชัย ฤชุพันธุ์” อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ (กรธ.) และ “ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการกฤษฎีกา” และอดีตเลขานุการกรธ. ยื่นคำให้การภายใน ๑๕ วัน เช่นกัน
ไทม์ไลน์การยื่น ใกล้เคียงกับ ทีมกฎหมายลุงตู่ ฉะนั้น จึงมีแนวโน้มจบเร็วสูง
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย
มีบันทึกกรณีนายกฯ ๘ ปี ที่ยังไม่มีใครพูดถึงมากนัก นั่นคือ เอกสาร ที่ชื่อว่า “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตรา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐”
เอกสารที่ทำขึ้นเพื่อให้ประชาชน รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ อย่างถูกต้อง
ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ แตกต่างจากการเรียกขานของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหรือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ที่มักจะเรียกเอกสารลักษณะนี้ว่า…
เจตนารมณ์
เพราะคณะกรรมการ ร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่า การพิจารณาเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญนั้น ต้องพิจารณาตามหลักการตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษร
กล่าวคือ การพิจารณาจากบทบัญญัติที่ได้บัญญัติไว้เป็นสำคัญ ดังนั้น ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงได้พัฒนาการจัดทำเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเรียกว่า
“การจัดทำความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐”
เนื้อหานอกจากจะบอกเล่า ความมุ่งหมายและความหมายแล้ว
ยังจะบอกเล่าถึงเหตุผล ความเป็นมาของแนวคิดที่นำมาบัญญัติ พัฒนาการของมาตรานั้นๆตั้งแต่ในอดีตจนถึงแนวความคิด และความมุ่งหมายล่าสุดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในการจัดทำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตรานั้น ๆ ด้วย โดยหวังว่าจะได้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ
ทั้งที่เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งเพื่อใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาหากมีเหตุให้ต้องตีความ
ครับ…นั่นคือ “คำนำ” ของ เอกสาร “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตรา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐”
สาระสำคัญคือ ใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาตีความ
ไปดูมาตราที่เกี่ยวข้องกับ กรณี นายกฯ ๘ ปีครับ
มาตรา ๑๕๘ มีคำอธิบายประกอบดังนี้
…รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้วางหลักการใหม่ในการแต่งตั้ง บุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๑๕๙ โดยกำหนด หลักการให้พรรคการเมืองต้องเปิดเผยรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองมีมติว่า จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น โดยให้ประชาชนได้รับทราบล่วงหน้าว่าบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีคือบุคคลใด เพื่อให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้าว่าถ้าตนเลือกพรรคการเมืองใด ตนจะได้ผู้ใดมาเป็นนายกรัฐมนตรี
และเนื่องจากการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นกิจการของสภาผู้แทนราษฎรโดยแท้ จึงกำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนด ข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจาก ตำแหน่ง จะไม่นำมานับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
การกำหนดระยะเวลา แปดปีไว้ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤติทางการเมืองได้…
ใช่ครับ…นี่คือหลักการใหม่ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนในอดีต ระบุถึงที่มาของนายกรัฐมนตรีโดยคำนึงถึงประชาชนมากเท่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
แล้วหลักการนี้สามารถนำไปตีความกับรัฐธรรมนูญฉบับอื่นได้หรือไม่
และนั่นจะเป็นคำตอบว่า วาระ ๘ ปี ของ “ลุงตู่” แท้ที่จริงแล้วเริ่มต้นเมื่อไหร่กันแน่
คำอธิบายในมาตรา ๑๕๙ ก็ระบุไปในทิศทางเดียวกัน
…บทบัญญัติในวรรคหนึ่งแห่งมาตรานี้เป็นการวางหลักการใหม่เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการเสนอชื่อบุคคลเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งบุคคลดังกล่าวจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับการเป็นรัฐมนตรี รวมทั้งจะต้องเป็นบุคคลที่พรรคการเมืองมีมติเสนอรายชื่อล่วงหน้า เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งได้ทราบและเป็นเหตุผลหนึ่งในการพิจารณาตัดสินใจในการลงคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองใด อันเป็นการเน้นถึงความสำคัญของพรรคการเมืองที่จะต้องพิจารณาบุคคลที่จะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี
แนวคิดในเรื่องการให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองประสงค์จะสนับสนุน ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อบรรลุเป้าหมาย ๓ ประการ คือ
ประการแรก เพื่อให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้าว่าถ้าตนเลือกพรรคการเมืองใด ตนจะได้ผู้ใดมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในการตัดสินใจลงคะแนนเลือกผู้สมัครผู้ใด ประชาชนจะต้องพิจารณา ทั้งตัวบุคคลที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นโยบายของพรรคการเมือง และตัวบุคคลที่พรรคการเมืองนั้นเสนอให้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหากพรรคการเมืองนั้นได้รับคะแนนเสียงข้างมาก
ประการที่สอง พรรคการเมืองต้องคัดสรรบุคคลที่จะเสนอให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอย่างเข้มงวดโดยคำนึงถึงความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ
ประการที่สาม เป็นการป้องกันมิให้พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก นำบุคคลที่ประชาชนไม่เคยรับรู้มาก่อนมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้าประชาชนรู้ล่วงหน้าว่าจะนำบุคคลเช่นนั้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประชาชนอาจไม่ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้นั้นและพรรคการเมืองนั้นก็ได้
แนวคิดนี้เป็นการสอดคล้องกับระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ที่ลงคะแนนครั้งเดียวแต่ส่งผลต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี…
ครับ…ในทางกฎหมาย นายกฯลุงตู่ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๗ กับนายกฯลุงตู่ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มีความต่างกันอย่างสิ้นเชิง
รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ คือสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ วางหลักการใหม่
หลักการนี้ย้อนกลับไปบังคับรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๗ ได้หรือไม่
คำตอบอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ