การเมืองเรื่องน่ากลัว-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ดูเหมือนไม่มีอะไร

มีข่าวเล็กๆ อยู่ชิ้นหนึ่งถ้าอ่านผ่านๆ มันก็แค่ข่าวนักการเมืองคนหนึ่งแสดงความเห็นถึงอนาคตทางการเมืองของตัวเอง

แต่ลงในรายละเอียด มันสะท้อนการเมืองภาพกว้างที่ยังขาดวิ่น

เป็นแค่มุมมองที่อยากให้เป็น ไม่ใช่มุมมองที่ควรจะเป็น

วานนี้ (๒๐ พฤษภาคม) “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” กรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย เขียนถึงอนาคตทางการเมืองเผยแพร่ในโซเชียล

“…เมื่อวานผมเกือบลาออกจากพรรคสร้างอนาคตไทย

เรื่องที่ทำให้ผมต้องคิดตัดสินใจเช่นนั้น เป็นผลพวงจากการประชุมคณะกรรมการบริหารที่มีการถกเถียงในจุดยืนเกี่ยวกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ผมให้ความเห็นว่า หากพรรคได้รับคะแนนเสียงเพียงพอ ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕ ที่นั่งตามกำหนดที่สามารถเสนอชื่อ ผู้ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เสนอชื่อ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ตามที่พรรคเสนอต่อประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่พรรคขนาดใหญ่ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และขอคำยืนยันว่าจะไม่ยกมือให้ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ไม่ว่าในกรณีใด

มีการเสนอความเห็นพอสมควร แต่มีกรรมการท่านหนึ่ง ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม บอกข้อเสนอของผมเป็น “ปาหี่” ซึ่งผมรับไม่ได้ สำหรับถ้าอะไรจะเป็นปาหี่ ก็คือการหักหลังประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อให้ ดร.สมคิด เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นอย่างน้อยในรอบแรกของการซาวเสียงในสภาฯ พรรคควรแสดงจุดยืนที่มุ่งมั่นตามที่ประชาชนที่เลือกพรรคต้องการ

สำหรับ พลเอกประยุทธ์ นั้น ผมเคยได้ร่วมงานด้วย  ท่านเป็นคนเก่งและมีความตั้งใจดี แต่หนทางขึ้นสู่อำนาจมาจากการรัฐประหาร ซึ่งผิดหลักการอุดมการณ์ของผม ที่เลวร้ายกว่าคือการถือครองอำนาจที่ยาวนาน ไม่คืนอำนาจให้กับประชาชนตามวิถีประชาธิปไตย จนตกอยู่ในวังวนของอำนาจนิยม ไม่สามารถบริหารจัดการได้ และนำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติในทุกมิติ

ถ้าพรรคสร้างอนาคตไทยไปร่วมรัฐบาลกับ พลเอกประยุทธ์ อีก ผมก็ร่วมสังฆกรรมด้วยไม่ได้

ดีที่ ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค ซึ่งผมนับเป็น  ‘เพื่อน’ คนหนึ่ง มานั่ง ‘เคลียร์ใจ’ รับฟังมุมมองของผม และยืนยันกับผมว่า

๑.พรรคจะสนับสนุน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เพราะเป็นคนเดียวเท่าที่เห็นขณะนี้ ที่จะพาประเทศด้วยชุดความคิดที่จะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และจัดระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองให้เข้าที่เข้าทาง ประเทศเดินหน้าไปได้

๒.พรรคจะไม่สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  เป็นนายกรัฐมนตรี และไม่เข้าร่วมรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก

๓.พรรคพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  ถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ

๔.หัวหน้าพรรคไม่มีข้อตกลงใดๆ ในทางลับกับฝ่ายทหารในการตั้งพรรคและทำงานการเมือง

ดร.อุตตมขอให้ผมร่วมงานต่อ และช่วยกันสร้างพรรคทางเลือกให้กับประเทศและประชาชน ผมรับปาก ไม่ใช่เพราะผมต้องการตำแหน่งหน้าที่อำนาจใดๆ แต่วันนี้ประเทศต้องการชุดความคิดใหม่ๆ ต้องการคนที่มีประสบการณ์ ที่มีบทเรียนทั้งดีและที่พลาดพลั้ง เพื่อจะได้ใช้องค์ความรู้นั้นมาแก้ไขปัญหาที่ ‘หมักหมม’ มายาวนาน

ผมไม่ต้องทำการเมือง ผมก็กลับมาทำร้านกาแฟของผมได้ ไม่เดือดร้อน

ผมยืนยันว่าผมเชื่อในอุดมการณ์ประชาธิปไตย  ประชาธิปไตยทางการเมืองเท่านั้นที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับประชาชนได้ หากบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย โอกาสทางเศรษฐกิจของคนตัวเล็กตัวน้อยก็จะไม่มี มีแต่อภิสิทธิ์ชน และทุนใหญ่ที่อยู่ใกล้ศูนย์อำนาจเท่านั้นที่ได้ประโยชน์

ก็สู้กันต่อไป ผมสัญญาว่าผมจะยึดมั่นในอุดมการณ์ และทำให้ดีที่สุด สุดความสามารถ เพื่อให้อนาคตของลูกหลานไทยสดใส มีอนาคต…”

ครับ…อ่านจบมีคำถามในหัวมากมาย

ทำไมนักการเมืองจำนวนมากถูกหล่อหลอมให้มองปัญหามุมเดียว

ขณะที่ปัญหาระดับมหภาคจะต้องแก้ไขด้วยมุมมองที่หลากหลาย เพราะมีปัจจัยเกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด

พูดกันมาเยอะครับว่าความขัดแย้งทางการเมืองของไทยต้นกำเนิดอยู่ตรงไหนกันแน่

บางคนบอกว่าเพราะรัฐประหาร

ขณะที่หลายๆ คนเชื่อว่าต้นตอที่แท้จริงคือการคอร์รัปชันในทุกวงการ

“สุรนันทน์” มองปัญหามิติเดียว และพา “อุตตม” เข้ารกเข้าพงไปด้วย

แน่นอนครับรัฐประหารคือปัญหาแน่นอน และเป็นปัญหาใหญ่ด้วย

แต่ก็ยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่า และนักการเมืองมักหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง คือปัญหาคอร์รัปชันในวงการเมือง

เพราะคอร์รัปชันปัญหาเดียว นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

หนึ่งในนั้นคือ รัฐประหาร

แต่ถ้าไปถามนักการเมืองวันนี้ก็จะได้คำตอบเดิมๆ คือ  เพราะรัฐประหารเท่านั้นที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง

ยากครับที่โจรจะรับผิด!

คอร์รัปชันเป็นปัญหาที่ก่อโดยนักการเมืองเป็นหลัก   ข้าราชการ เอกชน อาจตามน้ำบ้างแต่ต้องมีนักการเมืองนำ

ฉะนั้น มุมมองของ “สุรนันทน์” ที่ปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ ในทุกกรณีถือเป็นความคิดที่คับแคบ เรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้เลย

มีคำถามกลับไปยัง “สุรนันทน์” ว่า แล้วสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่

ถ้าบอกว่าได้ งั้นมาทบทวนความหลังกันหน่อย

สิงหาคม ๒๕๖๐ หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำตัดสินคดีขายข้าวจีทูจี  “สุรนันทน์” เขียนข้อความถึงเพื่อนชื่อ “บุญทรง เตริยาภิรมย์”

เฉพาะข้อความที่ “สุรนันทน์” ต้องกลับไปทบทวน

“…ได้ข่าว ‘เพื่อน’ อีกทีเป็นเลขานุการส่วนตัวนายกฯ  ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ใจห่วงว่าเพื่อนจะปลอดภัยหรือไม่ ยกหูโทร.คุยกันครั้งหนึ่งเท่าที่จำได้ เพื่อนบอก ‘ไม่ต้องห่วง’ ส่วนผมนั้นโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง ๕ ปี ด้วยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้แต่ช่วยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ

เวียนมาเจอและร่วมงานอีกครั้ง เมื่อ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’  เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเข้ามาเป็น ‘เลขาธิการนายกรัฐมนตรี’ หลังพ้นการตัดสิทธิ์ ปี ๒๕๕๕ ‘เพื่อน’ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปเยี่ยมห้องครัวเพื่อนไฟไหม้ที่กระทรวง ยังหัวเราะกันอยู่

จน ‘เพื่อน’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมเป็นเลขาธิการนายกฯ ได้เจอกันบ้าง แวะไปคุย เห็นเพื่อนแฟ้มเต็มโต๊ะ ยังเป็นห่วง

‘ใครดูให้มึง แต่ละเรื่องน่ากลัว’ ผมแอบพลิกแฟ้มดู

‘กูมีทีม’ แล้วชวนทานข้าวจากโรงอาหาร หน้าห้องสั่งมาให้ ยังคงความเป็นคนง่ายๆ ที่ผมรู้จัก ถึงแม้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่

เวลานายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศ บางทีได้คุยกัน  ได้ปรับทุกข์ผูกมิตรกันมากกว่าอยู่กรุงเทพฯ แต่ในแววตา ‘เพื่อน’ มีความกังวล

ช่วงวิกฤต ผมงานหลายด้าน แต่ก็ไม่วายห่วงเพื่อน ส่งเรื่องจากทำเนียบก็คอยเตือนว่าเรื่องไปแล้วรีบจัดการ เราเป็นเพียง ‘เสมียน’ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อน ‘ไม่สบายใจ’

หลังพายุพัดผ่าน รัฐประหารไปแล้ว เคยนั่งจิบไวน์คุยกันสองคน

ผมถาม ‘มึงเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง’ ผมนับถือน้ำใจมัน ที่ตอบ ‘กูพูดไม่ได้’ เราร่ำสุราจนดึก แล้วไม่แตะเรื่องนั้นอีกเลย

ทางการเมือง บางเรื่อง ‘ต้องตายไปกับเรา’ พูดไม่ได้  ผมเข้าใจดี และผม ‘เห็นใจ’ เพื่อน ที่ต้องเข้าไปติดกับ  ‘เงื่อนไข’ นั้น ผมอาจจะ ‘โชคดี’ กว่า ที่ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองได้ และ ‘เพื่อน’ ไม่ ‘โชคดี’ เท่า…”

ครับ…เรื่องที่ “บุญทรง” บอกว่า “กูพูดไม่ได้” ก็คือหนึ่งในเงื่อนไขที่ คสช.นำไปเป็นเหตุผลการทำรัฐประหาร

ถ้าไม่มีนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ไม่มีโกงจำนำข้าว วันนี้  “สุรนันทน์” อาจเป็นใหญ่อยู่ในเพื่อไทย “ลุงตู่” เป็นเพียงทหารแก่เลี้ยงหมา-แมว อยู่บ้าน

แต่วันนี้ต้องยอมรับความจริงเหตุมันเกิดไปแล้ว อยู่ที่จะแก้ไขอย่างไรหลังจากนี้

หาก พล.อ.ประยุทธ์ รับเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผ่านการเลือกตั้ง เหมือนกับคนอื่นๆ “สุรนันทน์” จะยังปฏิเสธที่จะร่วมงานการเมืองกันหรือไม่

ก็ไม่ทราบครับว่าทำไม “สุรนันทน์” ห่วง “บุญทรง” จะปลอดภัยหรือไม่ที่ไปเป็นเลขานุการส่วนตัวนายกฯ “สมชาย  วงศ์สวัสดิ์”

มันมีเรื่องอะไรให้ไม่ปลอดภัย

หรือตอนเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ แฟ้มที่วางบนโต๊ะ มีแต่เรื่องน่ากลัว

ถ้าวันนี้ “สุรนันทน์” บอกว่าสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยภายใต้ชายคาตระกูล “ชินวัตร” ได้ แสดงว่าน่าจะมีความบกพร่องบางประการเกิดขึ้น

จะสร้างอนาคตไทยไปทางไหนกัน


Written By
More from pp
ประจักษ์ ‘นักโทษคดีโกง’ – ผักกาดหอม
ผักกาดหอม ทำเป็นเล่นไป….. “เสี่ยอ้วน ภูมิธรรม” อาจได้รักษาการเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ไปสักระยะก็เป็นได้ ขนาด “ลุงตู่” ยังเคยโดนศาลรัฐธรรมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จากคดีถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกฯ เกิน ๘ ปี...
Read More
0 replies on “การเมืองเรื่องน่ากลัว-ผักกาดหอม”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
'); }); var ratingTotalIndicator = function() { var indicator = document.querySelectorAll('.rating-total-indicator'); if (typeof indicator === 'undefined' || indicator === null) { return; } for ( var i = 0, len = indicator.length; i 0 || bottom > 0) && top