เปลว สีเงิน
“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
มีพระราชดำริว่า ………
“ฟากตะวันออกของกรุงธนบุรี มีชัยภูมิดีกว่าตะวันตก เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างตะวันตก
จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา
ทรงสร้างพระนครใหม่ ในวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ รุ่งแล้ว ๙ บาท (๕๔ นาที)
ปีขาล จ.ศ.๑๑๔๔ จัตวาศก ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๖.๕๔ น.”
ครับ…..
เมื่อวาน (๒๑ เมย.๖๕) ก็เป็นวันคล้ายวัน “สถาปนาองค์พระหลักเมือง” ครบรอบ ๒๐ ปีนักษัตร คืออายุครบ ๒๔๐ ปี
นายกฯ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”
เป็นประธานประกอบพิธีทั้งพุทธและพราหมณ์ บวงสรวงศาลหลักเมือง
ปกติช่วงนี้ ร้อนอ้าวแต่เช้า แต่เมื่อวาน กลับเย็นฉ่ำ ฝนโปรยเป็นระยะ ซักพัก ก็เทกระหน่ำ ผมดูนาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลา ๑๐.๑๐ น.พอดี
บ้านเมืองไทย ประชาคนไทย ร่มเย็นเป็นสุขครับ
เป็นนิมิตหมาย “โลกร้อน” แต่ที่ไทยจะฉ่ำเย็น พืชไร่ ผักหญ้า ข้าวปลาอาหาร จะทำให้เรารวย
เตรียมตัว ตั้งรับกันให้ดีนะ…พี่น้องไทย!
พวกเด็กๆ ที่ย้อนยุคเป็น “รุ่นใหม่สมัยหิน” นั่นน่ะ
ปล่อยพวกเขาไปเถอะ …
ให้เขาได้มีอาชีพรับจ้าง “กวนบ้าน-กวนเมือง” แบบเถื่อนถ่อยด้อยปัญญาบ้าง จะได้สะท้อนภาพทางเปรียบเทียบว่า
“คนรุ่นเก่า” เขาไม่ได้เรียนมหา’ลัย แต่สามารถสร้างบ้าน-สร้างเมือง รักษาชาติ-เอกราชส่งต่อ “รุ่น-สู่รุ่น” เจริญวัฒนามาได้ถึง ๒๔๐ ปี
แต่ “รุ่นใหม่” ยุคนี้ ส่วนหนึ่งในระดับมหา’ลัย พฤติกรรม-พฤติการณ์ กลับ “สร้างความบรรลัย” ทางทำลายล้างชาติบ้านเมือง
จากปีที่ ๒๔๑ คือ นับต่อจากนี้ไป…..
เมื่อมองลอดหว่างขาดูรุ่นใหม่ หาอนาคตชาติบ้านเมือง กลับเห็นแต่หน้าซาตาน ในคราบอาจารย์-นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ทั้งรุ่นใหม่ ทั้งรุ่นใกล้ตายโหง-ตายห่า ห้อยต่องแต่ง
แลบลิ้น-ปลิ้นตา ….
ชักพา-ชักใยไปในทาง หลอกใช้เด็กเพื่อแปลงประเทศเป็นทาส แปลงเอกราชเป็นสินค้าขายให้ฝรั่งมังค่าตะวันตก
ลำดับความ ก็จะเห็นว่า กษัตราธิปไตย ระบบ “พ่อแม่ปกครองลูก” เพียง ๒๔๐ ปี สามารถนำพาชาติ-ประชาชนก้าวจนถึงระดับ “ชาติที่พัฒนา” ใกล้สมบูรณ์แล้ว
แต่มาวันนี้ ประชาธิปไตยจ๋า บ้าคลั่ง “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” ตามแอ่งตีนตะวันตก
ไม่เพียงฉุดดึงชาติ-ประชาชนไทยให้ถอยหลังกลับไปสู่ยุค “บ้านป่า-เมืองเถื่อน” เท่านั้น
แม้ “สหรัฐ-ยุโรป” เจ้าตำรับ
ก็กำลังติดกับดักประชาธิปไตยจ๋า ดิ้นกระแด่วคาเหยื่อล่อ คือ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” ของตัวเอง
มันไม่เพียงเป็นตัวทำลายล้าง “สันติสุข-สันติภาพโลก” เท่านั้น
ยังเป็นตัวถ่วงดึงความเจริญก้าวหน้า ทั้งชีวิตและการพัฒนาชาติ-ประชาชน “ถ้วนหน้า” ด้วย
ซ้ำร้ายกว่านั้น ประชาธิปไตยจ๋า ยังดูดดึงความเป็น “อารยชาติ-อารชน” ชาวตะวันตกหายไป
แล้วยัดเยียดสันดานสัตว์หน้าขนเข้าไปสิงร่างแทน!
ฉะนั้น ไทยเรา “ผู้เจริญแล้ว” ทั้งหลาย
อย่าไปหลงตามไอ้สัส ที่สร้างคำ “รุ่นใหม่-รุ่นเก่า” ขึ้นมา หวังใช้แยกชาติเชื้อเนื้อไทยให้แตกออกจากกัน เป็นรุ่น-เป็นก๊ก-เป็นฝ่าย
ตามยุทธวิธีแบ่งแยกให้แตกจากกัน เพื่อควบคุมแล้วเข้าครอบครอง!
รุ่นใหม่ “ตกน้ำมัน” ปล่อยมันไป ถ้าโตแต่ตัว แต่หัวคิดเท่าหัวแม่ตีน ก็ให้มันเตลิดตกหน้าผาตายไปเอง
แต่คนไหน โตแล้ว หัวคิดโตตาม ก็รู้เองว่าอะไร-เป็นไร เมื่อเวลา “ชีวิตในโลกจริง” มาถึง
โลก-ชีวิต-สังคม มันก็ง่ายๆ แบบนี้ ไม่ซับซ้อน ที่เห็นว่าซับซ้อน นั่นเราซับซ้อน ด้วยคิดมากไปเอง!
คิดผิด-คิดใหม่ได้
ที่ว่า เผด็จการ-ประชาธิไตย-ธรรมาธิปไตย-กษัตราธิปไตย-คอมมิวนิสต์ อะไรเหล่านั้น
เหมือนเสื้อหลากสี-หลากสไตล์ แขวนขาย ตามห้าง มันก็ขึ้นอยู่กับรสนิยม มุมมอง ความชอบของแต่ละคนว่าชอบสีไหน สไตล์ไหน
ประการสำคัญควรคิด
มีแค่คนโง่เท่านั้น ที่จะซื้อไปใส่ โดยไม่ “วัดไซส์” ตัวเองกับเสื้อให้พอดีเสียก่อน!
จีน รัสเซีย เขาก้าวหน้า ยิ่งใหญ่ถึงวันนี้ได้ ก็เพราะ “วัดไซส์” ก่อนนำระบบนั้นมาใช้
สหรัฐ-ยุโรป ประชาธิปไตยแบบเขา นั่นก็ตามไซส์พวกเขาชอบ
แบบสิงคโปร์ แบบเกาหลีใต้ แบบญี่ปุ่น แบบเวียดนาม แบบลาว แบบ แบบเขมร แบบมาเลย์
นั่นก็ประชาธิปไตยแบบ “วัดไซส์” ตัวตัด ตามสไตล์ของเขา ก็งาม แคล่วคล่องตามรสนิยมของใคร-ของมัน
แล้วไทยเรา….
จะไปบ้าใบ้ตามเขากับประชาธิปไตย “เสรีภาพ-เสมภาค-ภรดรภาพ” ไปหาหอกทำไม ?
ไปดู “ฝรั่งเศส” เจ้าตำรับวันนี้ซิ ครางอิ๋งๆ…ไอ้เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ ทำประเทศกูพังพาบอยู่เดี๋ยวนี้!
ไทยรอดและเจริญก้าวหน้ามาถึงวันนี้ ….
ไม่เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เรียกให้ตรงตัวว่า “กษัตราธิปไตย” ระบบ “พ่อปกครองลูก” ดอกหรือ?
แล้วจะต้องให้ด้อย-ถอยหลังกลับไปเป็นยุคหิน เพราะไอ้รุ่นใหม่สามนิ้ว ใต้กลไกจาน’มหาลัยกับแก๊งไอ้ตี๋สามสัส รับแผนต่างชาติ นำระบบ “ประชาธิปไตย” อันไม่มีอยู่จริงใช้ไม่ได้จริง เข้ามา “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” เพื่ออะไร?
เราจะให้เพื่อนบ้าน-ชาติอื่นเขามองมา แล้วยิ้มหยันว่า ประเทศไทย รุ่นใหม่ “โง่เกินควาย” อย่างนั้นหรือ?
คุยเท่านี้พอ…..
อ่านที่เป็นสาระดีกว่า “โรม บุนนาค” เขาเรียบเรียงไว้ และผู้จัดการออนไลน์เคยนำมาเผยแพร่ จะลอกมาตบตูด
………………………..
“โรม บุนนาค”
…..ในสมัยกรุงสุโขทัย เราใช้มหาศักราช (ม.ศ.)ซึ่งเป็นศักราชที่กำหนดขึ้นโดยพระเจ้ากนิษกะ แห่งอินเดีย
โดยเริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระองค์มีชัยต่อแว่นแคว้นโดยรอบใน พ.ศ.๖๒๒ เป็นมหาศักราชที่ ๑ มหาศักราชจึงมีขึ้นหลังพุทธศักราช ๖๒๑ ปี
และได้แพร่เข้ามาสู่สุวรรณภูมิพร้อมกับอารยธรรมอินเดียใช้ในย่านนี้มาก่อนกรุงสุโขทัย ปรากฏหลักฐานอยู่ในศิลาจารึกต่างๆ
ส่วนจุลศักราช (จ.ศ.)ตั้งขึ้นโดยสังฆราชบุตุโสระหัน แห่งพม่า หลังจากสึกออกมาชิงราชบัลลังก์ได้ใน พ.ศ.๑๑๘๒ จากนั้น ได้แพร่เข้าในล้านนา
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ มีการติดต่อกับพม่าอย่างใกล้ชิดในฐานะประเทศราช
“จุลศักราช” จึงถูกนำมาใช้ในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ปี ๒๑๑๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯให้ประกาศใช้ “รัตนโกสินทร์ศก” แทน “จุลศักราช”
รัตนโกสินศก(ร.ศ.)เป็นศักราชที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งขึ้นใน พ.ศ.๒๔๓๒
โดยยึดถือเอาปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีใน พ.ศ.๒๓๒๕ เป็นรัตนโกสินทร์ศกที่ ๑ และปีที่ประกาศใช้เป็นปี ร.ศ.๑๐๘
แต่ใช้อยู่ถึง ร.ศ.๑๓๑ แค่ ๒๔ ปี ก็สิ้นสุด เปลี่ยนมาใช้ พ.ศ.ในต้นรัชกาลที่ ๖
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริในเรื่องเปลี่ยนศักราชนี้ไว้ในจดหมายเหตุรายวันว่า
“…ศักราชรัตนโกสินทร์ ซึ่งใช้อยู่ในราชการเดี๋ยวนี้ มีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ คือเป็นศักราชที่สั้นนัก จะกล่าวถึงเหตุการณ์ใดๆ ในอดีตภาคก็ขัดข้อง
ด้วยว่า พอกล่าวถึงเรื่องราวก่อนสร้างกรุงขึ้นไปแล้ว ก็ต้องหันไปใช้จุลศักราชบ้าง มหาศักราชบ้าง และในข้างวัดใช้พุทธศักราช
ฝ่ายคนไทยสมัยใหม่ที่อยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์อันมีมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ก็มักหันไปใช้คฤศตศักราช ซึ่งดูเป็นการเสียรัศมีอยู่
จึงเห็นว่าควรใช้ “พุทธศักราช” จะเหมาะดีด้วยประการทั้งปวง เปนศักราชที่คนไทยเรารู้จักซึมทราบดีอยู่แล้ว ทั้งในประกาศใช้พุทธศักราชอยู่แล้ว
และอีกประการ ๑ ในเวลานี้ ก็มีแต่เมืองไทยเมืองเดียวที่มีพระเจ้าแผ่นดินถือพระพุทธศาสนา…”
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มใช้พุทธศักราชเป็นศักราชในราชการมาตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖
พุทธศักราช เป็นศักราชที่นิยมใช้ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยก็มีการใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นิยมใช้ในทางศาสนาเท่านั้น
แต่เมื่อมีการประกาศใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้แล้ว พ.ศ.ของไทยที่ใช้ในลาวและเขมรด้วย
ก็ไม่ตรงกับ พ.ศ.ในแบบของลังกาที่นิยมใช้ในอินเดียและพม่า คือพุทธศักราชแบบไทย ลาว เขมร เริ่มนับพุทธศักราชในวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมาครบ ๑ ปี เป็น พ.ศ. ๑ …..ฯลฯ
…………………
ขออนุญาต “ตัดจบ” แค่นี้นะครับ
ตอนนี้ เปิดให้เข้าสักการะ “ศาลหลักเมือง” ได้เป็นกรณีพิเศษ ระหว่าง ๒๐-๒๔ เมย.๖๕ ตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๒๐.๐๐ น.
“ขอเชิญ” ครับ