เปลว สีเงิน
อ่านข่าวนี้แล้วนึกถึง “พระองคุลิมาลเถระ” ขึ้นมาทันที!
“องคุลิ” แปลว่า นิ้วมือ
“มาละ” แปลว่า พวงมาลัย สำหรับคล้องคอ
“องคุลิมาล” หมายถึง “ผู้มีนิ้วมือร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอ”!
เดิมท่านชื่อ “อหิงสกะ” เป็นศิษย์อยู่ในสำนักทิศาปาโมกข์ เกิดอิจฉา-ริษยาในหมู่ศิษย์ด้วยกัน ไปเป่าหูอาจารย์ว่า…ระวังนะ อหิงสกะจะฆ่า
อาจารย์เลยวางแผนยืมมือคนอื่น “ฆ่าลูกศิษย์” คนนี้ โดยหลอกว่า จะสำเร็จศิลปวิทยาการชั้นสูงได้ ต้องฆ่าคนให้ครบ ๑,๐๐๐ ศพ
อหิงสกะก็ออกฆ่าคน เกรงจะนับศพไม่ถ้วน ฆ่าแล้วจึงตัดนิ้วแต่ละศพ ร้อยเป็นพวงห้อยคอไว้นับ
ฆ่าไป ๙๙๙ คน เหลืออีกคนเดียวก็จะครบ ๑,๐๐๐
“พระพุทธองค์” ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ พบว่า….
“อหิงสกะ”มีอุปนิสัยพอจะโปรดให้บรรลุมรรคผลได้ ถ้าไม่เสด็จไปโปรดตอนนี้ อหิงสกะจะทำอนันตริยกรรม ด้วยการ “ฆ่าแม่” ตัวเอง เป็นศพที่ ๑,๐๐๐
จึงรีบเสด็จไปโปรด……..
อหิงสกะพอเห็นพระพุทธองค์ ก็ปรี่เข้าจะฆ่า หวังตัดนิ้วเป็นนิ้วที่ ๑,๐๐๐ คล้องคอ สำเร็จเป็นมหาบัณฑิตสำนักทิศาปาโมกข์ ตามที่อาจารย์หลอก
พระพุทธองค์ทรงโปรดอหิงสกะจนเกิดสัมมาสติ สำนึกในความหลงผิดได้ ก็ทิ้งอาวุธ ทรุดกายลงกราบเบื้องพระบาทพระพุทธองค์ พร้อมทูลขอบวช
พระพุทธองค์ทรงบวชให้
และในที่สุด อหิงสกะก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นามว่า “พระองคุลิมาลเถระ”
ครับ…..
นี่ก็นับเนื่องในธรรมข้อว่า “ตโม โชติปรายโน” บุคคลผู้มืดมาแล้วสว่างไปภายหน้า
แล้วข่าวอะไรล่ะที่ผมอ่าน ทำให้นึกถึงเรื่อง “พระองคุลิมาลเถระ”? ท่านอาจถาม
ก็ข่าวนี้ไงล่ะครับ…..
๒๐ เมย.๖๕ ที่บ้านดง ต.ม่วงไข่ อ.พังโคน จ.สกลนคร นางนิตยา นาโล หรือ “นักสู้ปอสี่” ประธานหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชันภาคอีสาน
พร้อมด้วย นายพงศ์พัฒ รุ่งเรือง รองประธานภาคฯ นายเพ็รชพรรณ จันทเกตุ รองประธานภาคฯ นายชำนาญ แสงงามซึ้ง รองประธานภาคฯ
และน.ส.กัญญ์ชลิดา แก่นท้าว ประธานหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน จังหวัดสกลนคร และประชาชนชาวอำเภอพังโคน ร่วมกิจกรรมเปิด “หมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน”
ตามแนวทางของ “แรมโบ้อีสาน” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี
ที่ต้องการให้ประชาชนที่อยู่ตามหมู่บ้าน ชนบท และ อดีตหมู่บ้านเสื้อแดง แสดงพลังเปิดเป็น
“หมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน” ไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงความจงรักภักดีต่อ “ชาติ- ศาสนา-พระมหากษัตริย์” และประชาชน
ตามสโลแกนที่ว่า “อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี”
“นางนิตยา นาโล” ก็คือ “อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน”
หลังจาก “นายอานนท์ แสนน่าน” ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงและเป็น “ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย” ในอดีต
ซึ่งตอนนี้ “กลับตัว-กลับใจ”
จากแดงระบอบทักษิณ ที่มุ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติและสถาบัน กลับมามุ่งมั่น เทิดพิทักษ์ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์”
เป็นหัวหอกเปลี่ยนหมู่บ้านเสื้อแดง เป็น “หมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน” พร้อมทั้งตั้งศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชา “โคก-หนอง-นา-โมเดล”
ที่บ้านพรสวรรค์ ต.หนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี นำร่อง ขณะนี้
เมื่อรู้ “ความเป็นมา” แล้ว ก็อยากให้รู้ต่อ ว่าเพราะอะไร “แดงระบอบทักษิณ” จึงเกิดดวงตาเห็นธรรม?
ลองฟังที่ “คุณนิตยา” อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง ภาคอีสาน พูดเปิดใจซักนิดนะ
“……..ที่ผ่านมาเราจะถูกประณาม และถูกว่ากล่าวจากประชาชนทั่วๆไปว่า หมู่บ้านเสื้อแดง คือ “หมู่บ้านล้มเจ้า”
ที่เราเคยกระทำมา ต้องดำเนินการแก้ไข
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเราเองก็ไม่เคยคิดจะ “ล้มเจ้า-ล้มสถาบัน” แต่อย่างใด แต่ก็มี “วิทยากร” ที่มาร่วมเดินสายเปิดหมู่บ้านกับพวกเรา
นำเอาคำพูดต่างๆ นานา มาปลูกฝังชาวบ้าน จนดิฉันเองทราบพฤติกรรมต่างๆ จึงต่อต้านและเกิดการทะเลาะกันเกิดขึ้น ในช่วงปลาย ปี ๒๕๕๕
เราจึงเปลี่ยนมาเป็นหมู่บ้านที่ส่งเสริมอาชีพเกษตรกรและประชาชนรากหญ้า มาก่อตั้งเป็น “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” เดินตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๙ และต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ ๑๐
กระทั่งปี ๒๕๕๗ ยกฐานะจาก “หมู่บ้านเสื้อแดง” มาเป็น “หมู่บ้านวิสาหกิจชุมชน” จนถึงปัจจุบัน
แม้วิกฤตเศรษฐกิจไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก แต่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนของพวกเรา สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงอยากจะให้อดีตหมู่บ้านเสื้อแดง และหมู่บ้านอื่น ๆ มีแนวคิด ในการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตาม “ศาสตร์พระราชา” เศรษฐกิจพอเพียง ตามรอยเท้าพ่อ
“เราได้รับแนวทางจาก นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” ที่ต้องการสลายความเป็นสีเสื้อ จะไม่ให้มี เสื้อสีแดง, เสื้อสีเหลือง, หรือ เสื้อสีน้ำเงิน,
จะมีเพียง “เสื้อสีเดียว” นั่นก็คือ “สีแห่งความจงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
พร้อมกับต้องการส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ให้กระจายการเปิด “หมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชัน” ไปทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคอีสาน ทั้ง ๒๐ จังหวัด
อืมมมม….
อ่านตามที่คุณนิตยาพูด ภาพ “แรมโบ้อีสาน” บนเวทีเสื้อแดง ในบทแกนนำผู้คุคลั่ง ปี ๕๒-๕๓ ที่ผมแสนจะชังหน้า ณ ครั้งนั้น
ผุดขึ้นมาตัดกับภาพ “แรมโบ้อีสาน” จากมารเมืองเป็นเทพพิทักษ์เมืองในครั้งนี้ ทันที
จาก “แยกสี-แยกชาติ”
เป็นผู้ “แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด”
ไทยต้องมี “สีเดียว” คือ สีแห่งความจงรักภักดี ต่อ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์”
ก็ไม่ยกแรมโบ้อีสานเทียบ “พระองคุลิมาลเถระ” หรอก
เพียงจะบอกว่า กลับใจคือฟากฝั่ง
ก็ดีใจด้วยนะ…แรมโบ้ กับการที่คุณได้สู่ภาวะ “ผู้มืดมา-แล้วสว่างไป”!
วันก่อน เห็นคุณแถลงเจตนาในการลาออกจาก “ทุกตำแหน่ง” ว่า
“…….ไม่มีใครกดดันให้ลาออก ตัดสินใจด้วยตัวเอง เพื่อจะไปพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมให้ปรากฏข้อเท็จจริง กรณีคลิปเสียงพูดโทรศัพท์
โดยไม่ต้องอาศัยตำแหน่งผมเอง รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชามาช่วยปกป้องให้พ้นผิด ซึ่งอาจถูกครหาว่า ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อปกป้องตนเองได้
การที่ผมลาออกนั้น ถือว่าได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องดีที่สุดแล้ว เพราะผมมีความสำนึกรับผิดชอบต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชน
อีกทั้งยังเป็นการปกป้องภาพลักษณ์ของนายกฯ และรัฐบาล รวมถึงยังเป็นการสร้าง “บรรทัดฐานจริยธรรม” ทางการเมืองให้เกิดขึ้น”
คนรับผิดชอบด้วยสำนึกแบบนี้ ไม่อยากบอกว่าหายาก แต่จะบอกว่า “ผมนับถือคุณนะ”
คนการเมือง “เพื่อครอบครัว” น่ะ
ตะแคงบุ้งกี๋ เอาตีนกวาด ทีเดียวก็เต็ม
แต่นักการเมือง “เพื่อชาติบ้านเมือง” จมตีน-จมโคลนอยู่ไหน ประกายมันจ้าบอกเองว่า
“เพชร”!