เรื่อง “คนก่อ” กับ “คนแก้” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ดูๆ แล้วก็แปลกดี…..
เลือกตั้งปี ๒๕๖๒ เสร็จ
รัฐสภาเลือก “พลเอกประยุทธ์” เป็นนายกฯ ๙ มิย., ฟอร์มครม.เรียบร้อย ๑๐ กค..แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เข้าบริหารประเทศ ๒๕ กค.๖๒

พลเอกประยุทธ์ยังไม่ทันตั้งครม.ด้วยซ้ำ “แดง-ส้ม” เมื่อกลายเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งผิดแผน “กลืนเมือง-ล้มสถาบัน”
ก็แค้น “แน่นอก” ด้วยไฟริษยาสุม!

ระดมแคมเปญไล่ “ประยุทธ์ออกไป” แต่วินาทีนั้น ทั้งในสภา-ในถนน บนการ “หรี่ตาชักใย” ของพวกจักรวรรดิอำนาจยุโรป-สหรัฐ
เกรงสังคมนินทา “แพ้แล้วพาล”

ก็สร้างชุดวาทกรรมเป็นความชอบธรรมอ้างในการไล่ว่า
“ประยุทธ์” สืบต่ออำนาจเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย
ต้องไล่ออกไป!

จากวันนั้น ถึงวันนี้ ฝ่ายแค้น “ไล่นายกฯ” มา ๓ ปี ถ้าเปรียบสภาพ เหมือนหมาคอกแม้ว กระชากโซ่เห่าไล่กัดนายกฯตลอดมา ทุกลมหายใจหมา
ยกฝูงรุม เล็ง “งับโคนขา”

แต่แค่นายกฯ สะบัดแข้งเบาๆ ทั้งฝูงก็แตกฮือ ตกใจ หงายท้องชนกำแพง ร้องเอ๋งๆ วิ่งหางจุกตูด หวาดแข้ง ไปตั้งหลักเห่าอยู่ในองศาไกลตีนโน่น

หมดท่า-หมดเแรง ไม่รู้จะทำไง ก็งับหางหอน เป็นบทสุนัขรำพัน

“นายกฯ หน้าด้าน-หน้าทน ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมออก”!?

กลายเป็น “หมาอันธพาล” ที่ไล่งับนายกฯ เป็นหมาหน้าบาง ส่วนพลเอกประยุทธ์ฝ่ายถูกไล่งับ กลับเป็นนายกฯ หน้าด้านไปซะงั้น

ก็ไม่ต้องคิดมาก อยากจะบอกว่า……
อาชีพทนาย คือ “ฟอกถ่านให้ขาว”

การทำขาวให้เป็นดำ-ดำให้เป็นขาว, ผิดให้กลายเป็นถูก-ถูกให้กลายเป็นผิด นี่…อาชีพ “นักเลือกตั้ง”

“นักเลือกตั้ง” กับ “นักการเมือง” ไม่เหมือนกัน นักเลือกตั้ง ไม่เกี่ยงวิธีการและรูปแบบ ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ส่วนนักการเมือง จะมีสิ่งที่เรียกกันว่า “อุดมการณ์” ลีลาแค่สีสันแห่งครีบและหาง
ส่วนเนื้อหา “ผิด-ถูก”……..
อยู่บนหลักการ “ชาติ, บ้านเมือง, ประชาชน” ต้องได้-ต้องมาก่อน!

เพราะอย่างนี้ เราจึงเห็น พวกที่ตอนเป็นรัฐบาล “ก่อสารพัดปัญหา” หมักหมมทิ้งไว้ ทำเป็นว่า “ฝ่ายตัวเองถูก”
ส่วนนายกฯ ประยุทธ์ที่เข้ามา “แก้ปัญหา” ไม่ว่าจะแก้เรื่องไหน ทั้งที่เป็นชามรัฐบาลก่อนๆ กินแล้วทิ้งไว้แท้ๆ “เป็นฝ่ายผิด”!

เผอิญมันตรงจริตสังคมไทยที่ไม่ชอบคิดวิเคราะห์ ชอบที่จะ “คิดตาม-พูดตาม-ทำตาม”
“บางพวก-บางพรรค” รู้จุดอ่อนสังคมไทยดี

จึงสร้างขบวนการ “นำคิด-นำพูด-นำเชื่อ” เอาจริงผสมเท็จ, เท็จล้วนๆที่เรียก “เฟกนิวส์” เผยแพร่ผ่านสังคมสื่อสารโซเชียล

โดยมีขบวนการรูปแบบและสื่อออนไลน์สำนักต่างๆ เป็นเครือข่าย รับลูก, ส่งลูก, กระจาย-โหมกระพือเป็น “กระแสร้อน”
ให้คน “แก้ปัญหา” คือคนล้างชาม เป็นผู้ร้าย

ส่วนพวกที่ “ก่อปัญหา” คือคนกินทิ้งไว้ เป็นพระเอก
โจรน่ะ มันทำได้ทุกอย่าง ไม่มีคำว่า “ละอาย”

ตรงข้ามวิญญูชน จะทำอะไรคิดมาก ต้องแยกแยะ “ผิด-ถูก” ต้องคำนึงถึงคุณธรรม-มโนธรรม มีหิริ-โอตตัปปะ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าในหนัง ในละคร กระทั่งในชีวิตจริง จะเห็น “ต้นเรื่อง-ต้นม้วน” พระเอกน่วม ถูกกระทำย่ำยี รังแกสารพัด ส่วนผู้ร้าย…สบาย น่าอิจฉา

แต่ “ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง” ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เที่ยงแท้แน่นอน
คือบั้นปลาย ก็ต้องสรุปลงด้วยวลีที่ว่า “ผู้ร้ายตายตอนจบ” นั่นแหละ!

ชลน่านกำหนดตัวเองเป็น “ทศกัณฐ์” ประหนึ่งวางบท “เพื่อไทย” เป็นผู้ร้าย ที่ต้องตายตอนจบ
จึงยกให้นายกฯ ประยุทธ์เป็น “พระราม” ที่ถูกฝ่ายยักษ์ราวีจนงอมตอนต้น แล้วลงท้ายยักษ์ก็ต้องตายด้วยศรพระราม

มันเป็น “ลางบอกเหตุ” มาอย่างนี้ ฉะนั้น ที่หมายมั่นปั้นมือ ว่าปลายพฤษภา.ไม่ไว้วางใจ “ไล่นายกฯ” ตกเก้าอี้ได้ นั้น

อยากถามว่า “ไปตากแอร์หน้าคลับเฮาส์เคล้าขาหัวหน้าฝูงหลับไปแล้วละเมอหรือเปล่าชลน่าน” ที่จะให้พระเอก “ตายตอนจบ” ในหนังไทยท้ายม้วนแบบนั้น?

อภิปรายไล่มา ๓ ปี ทุกสมัยประชุม มีแต่ข้อมูลถั่วเน่าเคล้าปลาร้า ล้วงขึ้นมาละเลง ด่าโดยไม่มีเนื้อหามีแต่ตัณหาอันธพาลหน้ามืดอย่างเดียว

พฤษภา.สุทินก็จกปลาร้าไหเดิมขึ้นวาดโวหาร “หมาป่ากับลูกแกะ” ด่าๆๆๆไล่ๆๆๆ แต่ไม่มีข้อมูลหลักฐานอะไร เพราะด่าและไล่นั้น เป็น “วาทกรรมประดิษฐ์”

ตัวเองก็รู้….
ว่าเพื่อไทยบ่มิไก๊ ที่ว่าคว่ำได้ ก็แอบจิตหวัง เอาที่พรรครัฐบาลแตกกัน คงจะมีซักพรรค-ซักพวก “โหวตคว่ำ” นายกฯ เป็นชามข้าวหกตกถึงหมา มันก็แค่นั้น!

อย่างเรื่อง “เหมืองอัครา”………
รัฐบาลประยุทธ์ เข้าทำนอง “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ”

เนิ่นนานต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ถ้าบอกว่าที่เขลอะเป็น “ชามข้าว” ทิ้งไว้ ก็เขลอะมาในยุคทักษิณนั่นแหละ
เป็น ๒๐ ปีมั้ง ในยุคระบอบทักษิณ ทั้งเอ็นจีโอ ทั้งผู้คนที่รักธรรมชาติ รักเสียงเพลง รักมลพิษภาวะ ไม่เดือดร้อน-ไม่ร้อง

แต่พอเกิดสุญญากาศทางการเมืองยุคยิ่งลักษณ์
คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อ ๒๒ พฤษภา.๕๗ “พลเอกประยุทธ์” เป็นนายกฯ เท่านั้นแหละ
เหมืองอัคราเป็นพิษทันที…..

ชาวบ้านผสมเอ็นจีโอ แห่มาร้องแล้วร้องเล่า ร้องให้รัฐบาลคสช.สั่ง “ปิดเหมือง”
นายกฯ ก็ส่งคณะไปตรวจสอบ ต่อมามีการระงับการทำเหมืองจนกว่าทางผู้รับสัมปทานจะแก้ไขปัญหา ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาให้ถูกต้อง-ครบถ้วน

ทางอัคราฟ้อง เรียกค่าเสียหายหลายหมื่นล้าน ปรากฏว่า ชาวบ้านเงียบ…เอ็นจีโอ เงียบ ไม่ออกมาตีเกราะเคาะไม้ว่าที่รัฐบาลทำนั้น ดีแล้ว ถุูกแล้ว

ขณะเดียวกัน เพื่อไทย-ฝ่ายค้าน เอาเลย ลูกเข้าตีน อภิปรายขย้ำในสภาทันที
นายกฯ ไปปิดเหมืองเขา นายกฯต้องรับผิดชอบ!?

เขาฟ้อง เรียกค่าเสียหายกว่า ๓ หมื่นล้าน นายกฯต้องจ่ายเอง จะเอาเงินงบประมาณไปจ่ายไม่ได้ ไม่ยอม
เรื่องถึงขั้นอนุญาโตตุลาการ ให้ไปไกล่เกลี่ยเจรจากัน ทำท่าจะตกลงกันได้ อัครายอมปรับปรุงแก้ไขและจะปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไข และรัฐบาลก็จะเพิกถอนการระงับการทำเหมืองชั่วคราวนั้น

เปลี่ยนบทแสดงทันที จากให้นายกฯ รับผิดชอบ ไปเป็นว่า “รัฐบาลแพ้เขาแล้ว”
ก็ยกทรัพยากรแผ่นดินให้อัครา แลกกับไม่ต้องจ่าย ๓ หมื่นล้าน ไม่สนใจชีวิตชาวบ้าน ไปโน่น!

นี่อีกตัวอย่าง “คนแก้ปัญหา” เข้าตำรา “ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป”
“นายกฯ” กลายเป็น “คนผิด” ไปอีก

แต่พวก “ก่อปัญหา” กลับใช้ความหนังหนา-หน้าด้าน พลิ้ว “ปิดทองใส่หน้าผาก” ตัวเอง ว่าเป็น “ผู้พิทักษ์ประโยชน์ชาติ”

เรื่องการค้ามนุษย์ก็ดี การลักลอบขนชาวโรฮีนจาเข้าประเทศก็ดี เป็นปัญหาหมักหมมต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
ในยุครัฐบาลระบบอบทักษิณ โอบามา มาหวานฉ่ำกับยิ่งลักษณ์ สหรัฐฯ เหมือนมองไม่เห็นปัญหานั้น

แต่พอรัฐบาลคสช.ซึ่ง “ไม่สมประโยชน์” กับสหรัฐฯ เข้ามาแทน อะไรๆ มันก็ผิดไปหมด การบินก็ผิด การค้า-การประมงก็ผิด การค้ามนุษย์ก็ผิด

“รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์” ของสหรัฐฯ ในส่วนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ถีบไทยลงไปอยู่ต่ำสุดที่ เทียร์ ๓!
นายกฯ เข้ามาแก้ จนมีนายพลทหารติดคุกและตายคาคุก สหรัฐฯ ก็เลื่อนอันดับไทยขึ้นมาเทียร์ ๒ เมื่อปี ๒๕๖๐

ในการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์นั้น มีข่าวฉาวเกิดขึ้น โดยนายพลตำรวจคนหนึ่ง
“พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ ผู้ทำคดีขบวนการค้าชาวโรฮีนจา
ลาออกจากราชการ ไปลี้ภัยอยู่ออสเตรเลีย อ้างว่า ถูกกลั่นแกล้ง คุกคาม จากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสตช.

เรื่องนี้ พรรคก้าวไกลนำมาฉายเป็นหนังไล่ประยุทธ์-ล้มรัฐบาลในทุกเทศกาลอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เมื่อ ๑๘ กุมภา.นายโรม ปัดฝุ่นฉายใหม่อีกรอบ สื่อเครือข่ายก็รับลูกไปแตกดอก-ออกช่อกันตามฟอร์ม
ขนาดสัมภาษณ์สดพล.ต.ต.ปวีณข้ามประเทศ พล.ต.ต.ปวีณก็เข้าฉากได้เนียนนะ

“วันนี้ เป็นวันแรกที่ผมได้พูดความในใจ หลังจากต้องลี้ภัยอยู่ออสเตรเลียเป็นเวลา ๖ ปี ๓ เดือน ๓ วัน จึงมีความสุข ที่จะได้พูดถึงสิ่งที่ค้างคาใจ

ที่สร้างความทุกข์ ระทมขมขื่น เครียด กลัว บั่นทอนจิตใจ จากการทำหน้าที่ แล้วถูกกลั่นแกล้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รัฐบาล ผู้มีอำนาจ

เรื่องที่พรรคก้าวไกลออกมาเปิดเผยเป็นเรื่องจริง ผมไม่ได้สร้างเรื่องเพื่อขอลี้ภัยแต่อย่างใด ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตแบบผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ วันนี้รู้สึกว่า ได้ได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อีกครึ่งยังขาดหายไป

“ผมเสียดาย ถ้าวันนั้น ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีรัฐบาลตรงไปตรงมา
มีนายกฯ และผู้บริหารทุกระบบที่ทำให้ประเทศไทยใสสะอาด ซื่อสัตย์ มีความกล้าหาญ ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเที่ยงตรงเหมือนนานาอารยประเทศ

และปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปสุดทาง ชีวิตราชการผมที่เหลือ ๓ ปี ความสามารถ ประสบการณ์ในการสืบสวนสอบสวน มั่นใจว่า จะสามารถสาวไปถึงปลาตัวใหญ่ได้อีกหลายตัว
ใหญ่แค่ไหนขอให้คิดกันเอาเองจากการอภิปรายเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา”

ครับ….
ถ้านายตำรวจคนนี้ ตัวอยู่อยู่ในประเทศ จะเชื่อ ๑๐๐% เพราะ “พร้อมพิสูจน์” ความจริง ด้วยกล้าหาญ
แต่นี่ หนีไปกล้าอยู่นอกประเทศ เรื่องที่พูด “จริง-เท็จ” จึง ๕๐-๕๐

คุณเป็นนายตำรวจ แต่ขี้ลาด-ตาขาว อ้างไม่ปลอดภัย กลัวตาย ถูกผู้ใหญ่กลั่นแกล้ง ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งนายกฯ ทั้งระบบประเทศใช้ไม่ได้ หนีไปขอลี้ภัย

คุณดีคนเดียวในประเทศนี้
แทนที่จะสู้ กระชากหน้าผู้บังคับบัญชาที่ว่ากลั่นแกล้งออกมา แต่กลับกลัวตาย หนีเอาตัวรอด แล้วเก่งลับหลัง

แบบนี้ คุณเป็นได้ ๒ อย่าง เป็นผู้บริสุทธ์ สะอาด ๑๐๐% หรือไม่ก็ ซื่อบื้อ ๑๐๐%
อีกอย่าง คุณเป็น “ขบวนการสมคบ” แดง-ส้ม!

ทุกคดี ต้องมีพยาน ชาวบ้านก็เป็นพยานให้ในคดีต่างๆ แล้วเขาเหล่านั้น ไม่กลัวตายบ้างหรือ?
ถึงทีคุณ ควรจะเป็นพยานเรื่องโสมมเพื่อล้างวงการปากคุณบอกต้องการความซื่อสัตย์ สะอาด กล้าหาญ

แต่ตัวคุณกลับ อสัตย์ ขุ่นตม ตาขาว กลัวตาย หนีเอาตัวรอด แล้วมาพูดแบบนี้ ยังเป็นคนอยู่มั้ย?
ทำไม่ไปร่วมคลับเฮาส์กับนายโทนี่เขาซะเลยล่ะ

ตำรวจแบบคุณ ตายอยู่ที่นั่นแหละสมแล้ว อย่ากลับมาเชียว!


Written By
More from plew
เขาเอากันแน่แล้ว – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว….? เรามัวแต่ “จิกตีกันเอง” อยู่ในเข่ง ไม่เงยหน้ามองดู “ชาวเมือง-ชาวโลก” เขาบ้าง เดี๋ยวก็กลายเป็น “ไก่ตรุษจีน” ชนิดไม่รู้ตัวกันหมดหรอก!
Read More
0 replies on “เรื่อง “คนก่อ” กับ “คนแก้” – เปลว สีเงิน”