เปลว สีเงิน
“วัฎฎจักรสัญญา”……..
ของ “นายกฯประยุทธ์” หมุนมาบรรจบวงรอบที่น่าสนใจ ด้าน “วัดใจ” ในปี ๒๕๖๖ นี้แล้ว
คงไม่ลืมกัน
เมื่อ ๒๒ พฤษภา.๕๗ “พลเอกประยุทธ์” เข้าควบคุมอำนาจปกครองประเทศ ช่วงเกิด “สุญญากาศ” ทางการเมือง
ปัญหาหนึ่ง ที่นำสู่ความล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือปัญหา “คอร์รัปชัน”
รัฐบาลเป็นทั้ง “ตัวคอร์รัปชั่น” ในระบบการเมือง ทั้ง “สมประโยชน์” กับคนในระบบข้าราชการ และภาคเอกชน!
คณะคสช.เมื่อเข้ามาโดยพลเอกประยุทธ์และประชาชนก็เห็นตรงกันว่า ถ้าไม่ “ปฎิรูประบบราชการ”
ประเทศ “ไปไม่รอด” แน่!
ดังนั้น พันธสัญญาหนึ่งที่ “พลเอกประยุทธ์” ให้ไว้เป็น “สัญญาประชาคม” ในการเข้าบริหารประเทศ คือ
การ “ปฎิรูประบบราชการ” โดยเฉพาะ “ข้าราชการตำรวจ”
แต่ก็นั่นแหละ …..
ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า “ระบบราชการ” เท่ากับ “องคาพยพประเทศ”!
พูดเท่านี้ อาจมองไม่เห็นภาพ ผมจะยกความหมายคำว่า “องคาพยพ” ตามพจนานุกรม “ฉบับราชบัณฑิตยสถาน” มาให้ดู ดังนี้
“องคาพยพ” คือ ส่วนน้อยใหญ่แห่งร่างกาย หรืออวัยวะน้อยใหญ่ เช่น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีองคาพยพอันซับซ้อนหลายมิติ
ในปัจจุบันคำว่า องคาพยพ ใช้ในความหมายที่กว้างไปจากเดิม กล่าวคือ หมายถึงส่วนทั้งหลายที่ประกอบกันเข้าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อย่าง องคาพยพขององค์กร องคาพยพของหน่วยงาน องคาพยพของสังคม องคาพยพของหรือประเทศ
เช่น การปรับตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย จะต้องให้ครอบคลุมทุกองคาพยพของภาครัฐภาคเอกชน
ขณะนี้ เรามาถึงจุดเปลี่ยน ที่ทุกองคาพยพของสังคมไทยมีส่วนรับผิดชอบในการพัฒนาประเทศ
ทีนี้ เข้าใจชัดแล้วใช่ไหมครับ….ว่า
“ระบบราชการ” คือ ทุกส่วนในความเป็น “อวัยวะ” ของร่างกาย คือ “ประเทศ” นั่นเอง
ฉะนั้น “ปฎิรูประบบราชการ” พูดได้ง่าย
แต่การทำ มันถึงขั้นต้อง “ผ่าตัด” อวัยวะทุกชิ้น-ทุกส่วน ชนิด เข้มข้น-จริงจัง และต่อเนื่อง
ญาติพี่น้องทุกคนต้องยอมรับ “ความเสี่ยง” ระดับ “ตายเป็นตาย” นั้นด้วย
หมายถึง “ประชาชน” ในชาติ ต้องพร้อมใจ “รับความเสี่ยง” อันเป็นผลตามมาจากการผ่าตัดใหญ่ระบบราชการด้วย
ปัจจัยสำคัญ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ คือ “เรื่องเวลา”
เพราะผ่าตัดทุกชิ้นส่วนคือ “รื้อ-ล้าง” ชนิดถอนราก-ถอนโคนระบบราชการของประเทศ
มันเรื่องใหญ่และปัญหาล้านแปดต้องตามมาแน่
ฮวบฮาบแบบ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หรือรวบรัดเอาเร็ว มันไม่มีทาง
ต้องใช้เวลาต่อเนื่อง ถึงขั้นใช้คำว่า “ชั่วชีวิตคนหนึ่ง” ทีเดียว และนั่น ก็ไม่แน่ จะสำเร็จแค่ไหน?
ต้องคิดเผื่อปัญหาที่ต้องตามมาด้วย คือลงมือ “ปฎิรูประบบราชการ” จริงจัง วันไหน
การต่อต้านจากคณะบุคคลในระบบที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ จะต้องเกิดขึ้น
รุนแรงขึ้น “แตกหัก” สูงระดับ ๙๐% ขึ้นไป!
เรื่องคอร์รัปชัน ต้องเข้าใจ จะมีแค่ “ผู้รับ” ใน “ระบบข้าราชการ” ฝ่ายเดียว เป็นไปไม่ได้
มันต้องมี “ผู้ให้” คือผู้ “ติดสินบน” จากภาคเอกชน และคนในระบบการเมือง เป็นผู้เปิดและปิดเกม
ดังนั้น การรื้อ มันต้อง “รื้อ” บนแผนครอบคลุมทั้งภาครัฐ-ภาคเอกชน และภาคคนการเมือง
การ “คอร์รัปชัน” จึงเป็นเงาสะท้อนระบบซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่มี “สังคมนุษยชาติ” เช่นนี้แหละ
ฉะนั้น การปฎิรูป “ระบบราชการ”
ต้องตั้งต้นที่ “ผู้นำบริหาร”
ถ้าผู้นำบริหาร พร้อมตาย “ในสงครามปฎิรูป” จะไม่ตาย ซ้ำจะสำเร็จ
เพราะจะมี “กองทัพประชาชน” เป็นทัพร่วม!
แต่ถ้าผู้นำ “กึ่งกล้า-กึ่งกลัว” แบบนั้น ไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะถ้าทำ….
คนในระบบรัฐ “รู้ทาง” จะรวมหัวกัน “เฉื่อยงาน” เรียกว่า “ปฎิวัตเงียบ” ฝ่ายบริหาร ก่อนจะถูกฝ่ายบริหารปฎิรูป
ข้าราชการเฉื่อยงาน แค่นั้น “ระบบประเทศ” ก็ยุ่งแล้ว!
ถ้าไม่มีแผนรองรับล่วงหน้า รัฐบาลถูกรุม “ฉีกอก” แน่
พูดตรงตัวคือ “นายกฯ” ในฐานะผู้นำบริหารนั่นแหละ
เมื่อ “ระบบราชการ” แข็งเมือง….
แน่นอน…ต้องมีนักการเมืองกังฉิน “ในรัฐบาล” โดดเป็น “แนวร่วม” กับระบบราชการกินเมือง
ฝ่ายบริหาร แค่ผู้สั่งงาน
ถ้าฝ่ายปฎิบัติคือ “ข้าราชการ” ไม่ทำตาม ถึงทำ แต่แกล้งเฉื่อยงาน (รออำนาจใหม่ที่จะมาสมประโยชน์กัน)
แค่นั้น ก็ฉิบหายแล้ว
ฝ่าย “ปฎิรูประบบราชการ” กลายเป็นฝ่ายถูก “ข้าราชการปฎิรูป” แพ้พ่าย-หงายท้อง ไปทันที!
ที่พูดนี้ เพียงชี้ให้เห็นว่าการ “ปฎิรูประบบราชการ” มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
ไม่ได้พูดในความหมายว่า “อย่าทำ..หรือไม่ต้องทำ”
มันต้องทำ ต้องกล้า
แน่นอน ไม่สำเร็จในปี-สองปี แต่อย่างน้อย “ตั้งต้นไว้”
เมื่อประชาชนเห็นความมุ่งมั่นด้วยจริงใจ ใครขึ้นมาเป็นผู้นำ และสานงานปฎิรูปต่อ ประชาชนก็จะเป็นกำแพงให้
แต่ถ้าผู้คนต่อไป…..
กลับไปสมประโยชน์ “ภาครัฐบาล-ภาคข้าราชการ-ภาคเอกชน” เป็น ๓ ประสาน “ขบวนการคอร์รัปชันเหมือนเดิมอีก
คราวนี้แหละ “ปฎิวัติประชาชน” เกิดขึ้นแน่ และจริงจัง
“ชาติ-พระศาสนา-สถาบันพระมหากษัตริย์” จะเป็นแกนชาติ แกนประเทศ แกนระบบ
ทั้ง “รูปธรรม-นามธรรม” เอกลักษณ์ประชาธิปไตยในรูปแบบไทย สอดคล้องวิถี-วัฒนธรรมไทย อันประชาชน “จับต้องได้-สัมผัสได้”!
ด้วยเหตุนั้น……
“วัฎจักรสัญญา” ปฎิรูประบบราชการเท่ากับปฎิรูปประเทศ ตามที่ของพลเอกประยุทธ์ให้ไว้ แต่ปี ๒๕๕๗
หมุนมาบรรจบรอบแล้ว!
ปรารภเหตุจากคดี “ตู้ห่าว” ก็ดี คดี “อธิบดีกรมอุทยานฯ” ก็ดี กรณี “ปลัดมหาดไทย” อันแสดงถึงวุฒิภาวะต่ำ ไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ก็ดี
เป็นตัวอย่าง ๑ ใน ๑ ล้าน ที่ดึงดูดประชาชนให้หันไปจับจ้องที่ตัวผู้นำบริหาร คือนายกฯ ด้วยสายตาเค้นถาม ว่า
นี่เป็น “ต้นแบบ” แห่งความเน่าเฟะในวงราชการ จนถึงเวลาต้อง “ปฎิรูประบบราชการ” กันจริงๆ จังๆ พอหรือยัง?”
คดี “ตู้ห่าว” มันฟ้องระบบตำรวจว่า
“เน่าเฟะ” ตั้งแต่ “หัวยันหาง” จนเชื้อลามไปถึงกลไกผู้ใช้กฎหมายทั้งระบบ
คดี “อธิบดีกรมอุทยานฯ” มันฟ้องการคอร์รัปชันทั้งระบบ ตั้งแต่ “ฉ้อราษฎร์-บังหลวง” เอาเงินไป “ซื้อตำแหน่ง” บ้าง “ส่งส่วย” บ้าง
“ผู้บังคับบัญชา” รับสินบาท-สินบนบ้าง ขายตำแหน่งบ้าง รับส่วยบ้าง ไม่น้อยหน้าตำรวจ ถูกจับถึงขั้น “ปัสสาวะราด” คากางเกง
กรณี “ปลัดมหาดไทย” พูดจาใช้อำนาจ เหยียดหยาม ดูหมิ่น-ดูแคลน ข้าราชการผู้น้อยแบบนั้น
ยุคทาส ผู้มีอำนาจเขายังไม่ใช้คำเช่นนั้นกับทาส
แล้ววันนี้ ยุคอะไร?
จีนเขาขยายดินแดนไปจรดโลกพระจันทร์ก่อนอเมริกาแล้วด้วยซ้ำ
แต่ “ปลัดมหาดไทย” ยังใช้วุฒิภาวะ “ก่อนยุคน้ำแข็ง”
กับข้าราชการ ซึ่งเขามิใช่ทาสท่าน
หากแต่เขาเป็นข้าราชการกินเงินเดือนหลวงเช่นเดียวกับท่าน เป็นคนมีการศึกษาเท่าท่านบ้าง สูงกว่าท่านบ้าง
ต่ำกว่าก็เพียง “หัวโขน” คือตำแหน่งเท่านั้น!
การให้เกียรติผู้อื่น เท่ากับให้เกียรติตัวเอง ดังนั้น ที่ท่านบริภาษข้าราชการ ก็เท่ากับบริภาษตัวท่านเอง
ชาวบ้านไม่รู้ “ตื้น-ลึก-หนา-บาง” เกี่ยวกับตัวท่าน ที่ได้ขึ้นมาเป็นปลัดมหาดไทย
แต่เพียงเสียงหัวเราะที่บาดหู คำพูดที่บาดใจ และกริยาท่าทางที่บาดตา จากที่ท่านใช้กับข้าราชการมหาดไทยวันนั้น
ท่านทราบมั้ย?
ท่านไม่ต่างถูกจับแก้ผ้า ขึ้นขาหยั่ง เอกซเรย์ ตับ ไต ไส้ พุง เรียกว่าอวัยวะทุกส่วน ชาวบ้านเห็นหมดแล้ว
เห็นไปถึง “ภรรยาท่าน” ด้วยซ้ำ!
คิดว่าท่านปลัดคงได้อ่าน เพราะว่อนไปทั่วโซเชียลมีเดีย
แล้วทั้งหมดนี้ “ตำรวจ, ข้าราชการ” มันก็สะท้อนไปถึงฝ่ายอำนาจบริหาร คือรัฐบาล คือนายกฯ และแต่ละเจ้ากระทรวง
๔+๔ ปี ท่านทำอะไรอยู่?
จริงอยู่ ท่านทำหลายอย่าง ท่ามกลางหลายร้อยปัญหาการเมือง ทั้งการพัฒนาประเทศ
แต่….ใต้พรมที่สวยงามของระบบ คือ “รังปลวก”!
เป็น “รังปลวก” ใต้สัญญาปฎิรูประบบราชการ ที่เป็นวัฎฎะเวียนมารอบ ๒ ในการเป็น “ผู้นำบริหาร” ของท่านนายกฯ
ประชาชน ทั้งที่สนับสนุนและที่ล้มล้างท่าน ขณะนี้ ต่างจ้องไปที่ท่านว่า
จาก ๒-๓ กรณี “คาตา-คาเมือง” เช่นนี้
นายกฯ จะ “จัดการ” อย่างไร กับปัญหา “คอร์รัปชัน” ในระบบข้าราชการ?
ซึ่งมันมีผลกับการ “เลือกตั้ง” โดยตรง ในภาวะที่คนส่วนหนึ่ง กำลังพูดไปต่อๆ กันว่า
“เบื่อ…ต้องการของใหม่”!
เปลว สีเงิน
๔ มกราคม ๒๕๖๖