เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.00 น. ที่โรงเรียนปัว จังหวัดน่าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในงาน การสร้างการรับรู้นโยบายพืชกระท่อมสู่เศรษฐกิจชุมชน พร้อมด้วย นายนิวัฒน์ งามธุระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายวิศิษฐ์ ทวีสิงห์ ปลัดจังหวัดน่าน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตํารวจภูธร ภาค 5 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายคุณดร งามธุระ คณะที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวะสมิตตระกูล ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดน่าน นายสมเกียรติ อาจสังข์ นายอําเภอปัว นายประกวด พายัพสถาน ผู้อํานวยการโรงเรียนปัว และประชาชน 700 คนร่วมงาน โดยมีมาตรการตรวจ ATK ทุกคนก่อนเข้างาน
นายนิวัฒน์ กล่าวว่า พืชกระท่อมมีประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจและการแพทย์ นายสมศักดิ์ ได้เห็นประโยชน์ จึงเสนอการถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ในนามของพี่น้องชาว จ.น่าน ขอขอบคุณที่ผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจและใช้ตามวิถีชาวบ้าน จ.น่าน พร้อมที่จะรับนโยบายในการผลักดันพืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจต่อไป
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการยื่นคำร้อง ฟ้องคดี ต่อสู้คดี และบังคับคดี สามารถยื่นขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้ที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข หรือสำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ หากใครถูกกระทำ ไม่ใช่ฝ่ายผิด เรามีเงินช่วยเหลือทั้งกรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บ
นอกจากนี้เราออกกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่มีผลบังคับใช้วันที่ 9 ธ.ค. เมื่อก่อนคนค้ายาถูกจับก็ติดคุก แต่กฎหมายใหม่จะติดคุกและถูกยึดทรัพย์ย้อนหลัง 10 ปี และเรามีรางวัลสำหรับผู้แจ้งเบาะแสให้ราชการรู้ในส่วนแบ่งของการยึดทรัพย์ 5% ซึ่งจากเป้าหมายที่เราตั้งเป้า 10,000 ล้านบาท เงินรางวัลก็จะมี 500 ล้านบาท
ซึ่งปีที่ผ่านมาเรายึดทรัพย์ผู้ค้ายาได้ 7,300 ล้านบาท แต่กฎหมายเก่ามีเงินรางวัลน้อย และตนขอเตือนทุกท่านว่าอย่าไปรับจ้างเปิดบัญชีให้กับใคร และสำหรับคนที่เป็นหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กระทรวงยุติธรรมจะช่วยไกล่เกลี่ย โดยวันที่ 17 พ.ย.จะทำข้อตกลงระหว่าง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกับ กยศ.
ที่ผ่านมาครู อาจารย์ของเราไปค้ำให้นักเรียนนักศึกษา จนมีปัญหาถูกฟ้องร้อง คนค้ำประกันปวดหัว เราจะช่วยไกล่เกลี่ยให้ กระทรวงยุติธรรมจะเป็นเจ้าภาพในการช่วยไกล่เกลี่ย และกรมบังคับคดีจะช่วยในการให้คำปรึกษาในส่วนของผู้ที่ถูกฟ้องดำเนินคดี
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนได้แก้ไขกฎหมายให้พืชกระท่อมถูกกฎหมาย ซึ่งก่อนที่จะมีการปลดล็อกกระท่อมให้ถูกกฎหมาย ป.ป.ส.โดยนายวิชัย ได้ช่วยร่างกฎหมายจนปลดล็อกได้สำเร็จ ซึ่งในช่วงก่อนที่จะปลดล็อกได้มีหมู่บ้าน 135 หมู่บ้านที่นำร่อง ซึ่งทางป.ปส.ได้อนุญาตให้ปลูกบ้านละ 3 ต้น พืชกระท่อมขณะนี้ราคากิโลกรัมละ 300-500 บาท 1 ต้นจะเก็บเกี่ยวใบได้ประมาณ 216 กิโลกรัมต่อปี หากปลูกบ้านละ 3 ต้น จะได้ปีละ 648 กิโลกรัม หากตีเป็นเงินจะได้ประมาณ 194,400 บาทต่อปี และหากปลูก 1 ไร่จะได้ประมาณ 25 ต้น ผลผลิต 5,400 กิโลกรัม เป็นเงินประมาณ 1,620,000 บาท
และขณะนี้พืชกระท่อมสามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น อาหาร ยารักษาโรค อาหารเสริม เวชสำอางค์ ซึ่งมีมูลค่ารวมในตลาดมากถึง 1.459 ล้านล้านบาท ดังนั้นการปลูกพืชกระท่อม หากแห่กันปลูกเหมือนพืชอื่นๆจะทำให้ราคาตกต่ำ จากราคากิโลกรัมละ 300 บาทอาจจะเหลือแค่ 20-30 บาทเท่านั้น เราไม่อยากให้กระท่อมออกมารูปแบบนี้
แต่หากเรามีนวัตกรรมใหม่ๆ มีการสร้างงานวิจัย และอย่างมอร์ฟีนที่ประเทศมหาอำนาจขายกัน กระท่อมมีสารที่ช่วยระงับการปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีนหลายเท่า ซึ่งหาเราวิจัยและพัฒนาได้จะเพิ่มมูลค่าของพืช ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างงานวิจัยต่างๆออกมาอย่างเร่งด่วน
จากนั้น นายสมศักดิ์ ได้ให้ประชาชนได้ถามถึงข้อสงสัยต่างๆ และมอบอุปกรณ์กีฬา ให้กับ ผอ.โรงเรียนปัวและคณะนักเรียน มอบกระท่อมพันธุ์ก้านแดงหางกั้ง 100 ต้นให้กับตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกระท่อม และมอบชุด PPE 240 ชุดให้กับประธาน อสม.อ.ปัว และได้เดินทางไปปลูกต้นกระท่อมต้นแรกของ จ.น่าน ที่ ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง และได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกร