เปลว สีเงิน
ถ้าเป็น “หนัง-ละคร” น่ะนะ
ตอนนี้ไม่ต้องพากษ์แแล้ว เรื่องมันเดินด้วยตัวมันเอง จนคนดูเดาได้ ว่าจะจบแบบไหน!
ก็เลยไม่อยากคุยเรื่องที่ทำ “กระเพาะสังคม” เครียด
พอดีเห็นข่าว “คุณนิกร จำนง” เลขาฯคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลประชุม
ก็จำต้องคุยจนได้
คือเมื่อวาน (๖ มิย.๖๗) กมธ.ศึกษาแนวทางออกพรบ.นิรโทษกรรม เขามติเห็นชอบใน ๓ ประเด็น
ประเด็นที่ ๑ “กรอบเวลานิรโทษกรรม”
ให้เริ่มนับตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน
ประเด็นที่ ๒ นิยามคำว่า “การกระทำที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง”
ให้หมายถึง…..
“การกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง”
ประเด็นที่ ๓”ขอบเขตการนิรโทษกรรม”
สรุปว่า…..
“บรรดาการกระทำใดๆ หากเป็นความผิดตามกฎหมาย ให้การกระทำนั้น ไม่เป็นความผิดต่อไป
และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้น พ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้วก็ให้ถือว่าผู้นั้น ไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น
ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง และให้ถือเสมือนว่า บุคคลนั้นไม่เคยกระทำความผิด”
นักข่าวถาม “ท้ายที่สุดการนิรโทษกรรมจะครอบคลุมถึงคดีมาตรา ๑๑๒ ด้วยมั้ย?”
คุณนิกร ตอบ “อีกซัก ๒-๓ ครั้ง คงจะพิจารณาได้”
ผมก็อยากบอกกับกมธ.ศึกษาฯ ว่า
“ไม่ต้องประชุมแล้วหละ”
แค่ ๒ ประเด็น “แรงจูงใจทางการเมือง” กับ “ขอบเขตการนิรโทษกรรม” มันก็ “ชัด-ครบ-จบที่ทักษิณ” ตรงตัวอยู่แล้ว
ไม่ต้องเค้นเล่ห์ “อ้อมโลก” ประชุมกันให้เปลืองแอร์อีก
“ทุกคดี” ที่เกิดในรอบ ๑๙ ปี….
ได้รับ “นิรโทษกรรม” ทั้งหมด ไม่ว่าอาญาหรือแพ่ง ภายใต้นิยามคำว่า “การเมือง”
เพราะ “ทุกคดี” ในโลกนี้….
ไม่มีคดีไหน ที่ไม่ได้เกิดจาก “แรงจูงใจทางการเมือง”!
อยากให้แต่ละกรรมาธิการศึกษาฯ ตอบผมคำซิ
คำว่า “การเมือง” ที่พวกคุณลากไปลงรู
พวกคุณไม่รู้-ไม่เข้าใจความหมาย ตามเจตนารมณ์ ของผู้บัญญัติคำนี้?
พวกคุณมาทำตัวเป็น “ศาสดาตะแบง” แตลงตลบนิยามคำทางกฎหมายแบบ “ลากลงไปกินใต้น้ำ” อย่างนี้ ไม่ได้นะ!
พวกคุณต้องตกผลึกคำว่า “การเมือง” ให้ชัดซะก่อน
ถ้ายังไม่ตกผลึก
จะมาใช้ผลึกที่ยังเป็นขี้เลนละเลงคำ “ความขัดแย้งทางการเมือง” เพื่อให้สอดรับกับคำว่า “การเมือง” ของพวกคุณเองแบบนี้
มันยิ่ง “ออกอ่าว-ออกทะเล” ไปกันใหญ่!
การก่อจลาจล เผาบ้าน-เอาเมือง จ้วงจาบหยาบช้าสถาบัน ทำร้ายเจ้าหน้าที่-ประชาชนทั้งเจ็บ ทั้งตาย
ทำกันเป็นขบวนการ มุ่งหวัง “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน”
นี่ใช่มั้ย “คดีการเมือง” ตามนิยามที่พวกคุณลากไป?
ผมว่า มันไม่น่าใช่นะ
คำว่า “การเมือง” ที่มาจาก “Political”
รากศัพท์จากภาษากรีก “อริสโตเติล” เจ้าของทฤษฎีประชาธิปไตย เป็นผู้บัญญัติขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล
ให้กรอบนิยามคำ “การเมือง” ไว้ว่า “งานที่เกี่ยวกับรัฐหรือแผ่นดิน”
แล้วในโลกนี้ มันมีอะไรบ้างที่ “ไม่เกี่ยวกับรัฐและแผ่นดิน”?
ไม่มีเลย!
“ทุกคน-ทุกชีวิต” เมื่อรวมเป็นสังคมประเทศหนึ่งๆ ทุกการกระทำ-ทุกการแสดงออก มันคือ “การเมือง” ทั้งสิ้น!
ฆ่า ปล้น ชิง วิ่งราว ลักทรัพย์ ก็การเมือง
ฉุดคร่าอนาจาร ข่มขืน หลอกลวง ก็การเมือง
ร่ำรวย ยากจน อดอยาก เหลือเฟือ ก็การเมือง
ชิงอำนาจ ชิงตำแหน่ง แก่งแย่ง ก็การเมือง
ติดคุก แต่ไม่ติด ป่วยทิพย์ อ้างว่าป่วยจริง ก็การเมือง
สุจริต คอร์รัปชัน สัตย์ซื่อ คนแค่เป็นหมาในคอก ก็การเมือง
เผาบ้าน-เผาเมือง กล่าวร้ายป้ายสี มุ่งหวังทางล้มล้างทำลายพระมหากษัตริย์ ก็การเมือง
สรุป…ไม่มีอะไรเลย ที่เรียกว่า “ไม่ใช่การเมือง”!
ทุกเรื่อง-ทุกปัญหา จากทุกชีวิตในสังคมชน-สังคมชาติจะเป็นคดี-ไม่เป็นคดี
เป็น “การเมือง” ทั้งสิ้น!
เพราะแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นกับแต่ละชีวิตในสังคมล้วนมีผล “เกี่ยวกับรัฐหรือแผ่นดิน” โดยตรงทั้งนั้น
เกี่ยวยังไง?
ก็เกี่ยวทาง “บริหารและปกครอง” นั่นไง
ไม่งั้นจะอ้างประชาชน เพื่อแย่งกันเป็นรัฐบาลหรือ?
ถ้า “บริหารดี-ปกครองดี-จัดการ-จัดระเบียบสังคมดี” เรื่องเลวๆ ที่ไม่ควรเกิด มันจะเกิดเป็นคดีความหรือ?
ตอนรัฐบาลประยุทธ์ บริหารทำประเทศและสังคมรอด
“เพื่อไทย-ก้าวไกล” ก็ออกมาตะโกน
“๙ ปี ประยุทธ์ทำประเทศล้าหลัง ชาวบ้านจะอดตายกันหมดแล้ว” ปลุกระดมแล้วขนคนมาร่วมจลาจลเมือง
นี่คือ “การเมือง”
อย่างตอนนี้ รัฐบาลเพื่อไทย แค่ ๑๐ เดือน เศรษฐกิจพังของแพงทั้งแผ่นดิน ประเทศเคว้งคว้าง อาศัยใบบุญที่รัฐบาลประยุทธ์ทำไว้ พยุงไปวันๆ
แต่พวกที่เคยตะโกนขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ กลับเงียบฉี่
นี่ก็ “การเมือง”
เกิดการหากินทางหลอกลวงขึ้นในบ้าน-ในเมือง มากมาย ข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจเละเทะ
เมื่อกูไม่ได้-มึงก็อย่าอยู่ สาวไส้กันวุ่นวาย ผู้บริหารทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตาปริบๆ
นี่ก็ “การเมือง”
มีขบวนการใช้เด็กเป็นเครื่องมือออกมาจ้วงจาบหยาบช้าสถาบัน มุ่งหวังทางกัดกร่อนบ่อนเซาะทำลาย ผสมแผนต่างชาติ สู่การล้มล้าง
นี่ก็ “การเมือง”
ด้วย “อะไรๆ ก็การเมือง” ตามนิยาม “อริสโตเติล” ผู้เป็นต้นบัญญัติศัพท์ให้กรอบของคำว่า Political ไว้
ฉะนั้น ที่กมธ.วางกรอบคนที่จะได้รับนิรโทษกรรมไว้ว่า
“การกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง”
แบบนี้ ไม่แค่คดี ๑๑๒ เท่านั้น
ทั้งหมด “ทุกคดี” ในทุกเรื่อง ก็ต้อง “นิรโทษกรรม” ล้างคุก-ล้างศาล ยุติคดีที่เกิดในรอบ ๑๙ ปี ไปทั้งหมด!
รัฐบาลเพื่อไทย จะเอากันอย่างนี้แน่นะ?
ยิ่งลักษณ์ ยังแค่ลักหลับ “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง”
แต่เศรษฐา ตามกรอบที่วางกันนี่ ไปถึงขั้น “นิรโทษกรรมเหมาประเทศ” เลยนะนี่!?
ก็อย่างที่บอกแต่ต้นนั่นแหละครับ
คือ “ไม่ต้องพากย์” เรื่องมันเดินไปด้วยตัวมันเองชัดเจนอยู่แล้ว
ฉะนั้น พรุ่งนี้และวันจันทร์ ขอพักเสียง ๒ วัน ค่อยมาคุยกัน แต่เดือนนี้ ผมคงผลุบๆ โผล่ๆ หน่อย
อย่าง ๑๘-๑๙ มิ.ย.ที่ทุกท่านรอคอย ผมก็คงไม่ได้มาคุย เพราะนัดหมอจะไปนอนเล่นโรงพยาบาลซัก ๒-๓ วัน
ก็เอิ้นไว้ล่วงหน้า
เดี๋ยวจะว่า พอจะเข้าด้าย-เข้าเข็ม ก็ดั้นเมฆหลบ
ผมน่ะ ไม่หลบหรอก
แต่ “ลี้ภัยคุก” ไม่แน่!
เปลว สีเงิน
๗ มิถุนายน ๒๕๖๗