เมื่อวาน (๒ มิย.๖๕) ว้าวุ่นไปหมด ไม่รู้จะดูอะไรถูก!
ทั้งอภิปรายงบฯในสภา ทั้งถ่ายทอดสดวอลเลย์บอลหญิง “เนชั่นลีกส์ 2022” จากตุรกี ทั้งถ่ายสดฟุตบอลเอเชียนคัพ จากอุซเบกิสถาน คู่ “สะท้านอาเซียน” ไทย-เวียดนาม
ความที่ผมเป็น FC วอลเลย์บอลหญิงของไทย ประเภทตลอดชีพ เลยตัดสินใจเฝ้าหน้าจอช่อง ๒๕ รอดูวอลเลย์บอลดีกว่า
“อัจฉราพร คงยศ, พรพรรณ เกิดปราชญ์, ชัชชุอร โมกศรี, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, หัตถยา บำรุงสุข และทัดดาว นึกแจ้ง
“๖ เซียนสาวแซ่บ” รุ่นใหม่….
ฟอร์มกำลังร้อนแรง ตบสะแด่วแห้ว ทั้งทรหด ไว หัวใจเกินร้อย ไม่น้อยหน้า “๗ เซียนสาว” ในตำนานที่ “ขึ้นหิ้ง” ไปแล้วแต่อย่างใด
๖ เซียนสาวแซ่บ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ!
แต่แหม…ทำเอาหัวใจจะวาย ตบกันถึง ๕ เซต นึกว่าจะเสร็จเซอร์เบียซะแล้ว
ผลไทยชนะ ๓-๒ เซต สรุป ไทยแข่ง ๒ นัด ชนะทั้ง ๒ นัด
นัดแรกชนะทีมชาติบัลแกเรีย นัดที่สองเมื่อวาน ชนะทีมชาติเซอร์เบีย ซึ่งเป็นทีมอันดับ ๑ ของตาราง
เสาร์ที่ ๔ มิย.อย่าลืมตามดูเชียวนะ ไทยตบกับเบลเยี่ยม ที่แพ้เซอร์เบียมาแล้ว ก็ไม่ยากที่จะชนะอีก
ดูนักกีฬา “หนุ่ม-สาว” รุ่นใหม่แล้ว บอกตรงๆ ใจมันฟู ชื่นชม ยกย่องพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจริงๆ
ได้กันคนละกี่บาท-กี่สตางค์กัน ถ้าไม่ชนะ แต่เพื่อธงชาติไทยที่หน้าอก พวกเขายอมตายถวายชีวิต
ชนะก็เฮกัน แล้วก็ลืมพวกเขาไป
ส่วนที่แพ้ น่าเห็นใจที่สุด ไม่แยแสเขาก็ไม่ว่า แต่ขอแค่เห็นคุณค่าจากการ “สู้เพื่อชาติ” ของพวกเขาบ้างจะได้ไหม?
ทุกวันนี้ มีแต่นักกีฬาเท่านั้น …..
ที่ทำให้ “เพลงชาติไทย” กระหึ่มก้องหู “ธงธาติไทย” โบกสะบัด ทำเลือดฉีดพล่าน หัวใจฟูพองโต ในความเป็น “ชาติไทยของเรา”
ดูนักกีฬา แล้วย้อนดู ๕๐๐ สส.ในสภา “บางพรรค-บางพวก”
“ต้องบอกว่าเหมือน” ฟ้ากะเหว”
ไม่แค่เหวธรรมดา เป็น “เหวนรก” ถึงขั้นนั้น!
เงินเดือนเท่าไหร่ เบี้ยบ้ายรายทางเท่าไหร่ บำนาญก็ยังมีให้จนตาย
แล้วถามคำ นอกจากชังชาติ พยายาม “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” พยายามลบล้างความเป็นไทย พยายามช่วงชิงอำนาจหน้าด้านๆ เพื่อเอาบ้าน-เอาเมือง อย่างที่เป็นอยู่
ไม่ละอายใจกับหนุ่ม-สาวนักกีฬาเขาบ้างหรือ ที่เขาและเธอเหล่านั้น ที่สู้ยิบตา เพื่อคำว่า “ชาติไทย”
โดยสิ่งตอบแทนที่พวกเขาได้มี ๒ อย่างเท่านั้น
ชนะ เสียง..ชม
แพ้ เสียง…ถุย!
นี่ก็เบื่อเฝ้าดูผลโหวตงบประมาณ รีบกลับบ้านไปกางมุ้งรอดูถ่ายสดฟุตบอล “ไทย-เวียดนาม” ตอน ๔-๕ ทุ่มดีกว่า
ก็อย่างที่คุยกันไปวันแรก……
ดูแค่คู่เปิดฟลอร์ “ชลน่าน” กับ “นายกฯ” มันก็จบแล้ว!
“ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย” ถูกนายกฯ ทุ่มกระสอบข้าวสาร “โกงจำนำข้าว” กว่า ๙ แสนล้านยุค “ยิ่งลักษณ์” กลับไป ทับแบนแต๊ดแต๋
ก็แส่เอง แล้วจะโทษใคร จริงมั้ย..ชลน่าน?
เอาละ…..
วันนี้ “วันดี-วันมงคล” บ้านเมืองไทยเรา กำลังเข้าสู่คำว่า “ฟ้าหลังฝน” จะมีแต่เรื่องดีๆ เรื่องเป็นมงคล ไหลเพิ่มพูลเข้ามา
นั่นหมายถึง การลงทุน การส่งออก การท่องเที่ยว การเดินทางมาเยือนราชอาณาจักรไทยของเหล่าอาคันตุกะ ในฐานะ “แขกรัฐบาล และแขกบ้าน-แขกเมือง”
ชนิดที่ต้องใช้คำว่า “หัวกระไดบ้านไม่แห้ง”!
“ซาอุดีอาระเบีย” กับ “ไทย” ฟื้นสัมพันธ์ในรอบกว่า ๓๐ ปี ชนิดที่คิดกันไม่ถึง เป็นผลงานที่ต้องบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์การเมือง-การต่างประเทศ
ต้องให้เครดิตนายกฯ และกระทรวงต่างประเทศ เต็ม ๑๐๐!
และวานซืน ๑-๒ มิ.ย.เป็นเรื่องน่ายินดี “นายพันคำ วิพาวัน” นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นำคณะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกรัฐบาลไทย และมีความตกลงในความร่วมมือระหว่างลาวกับไทยในทุกมิติ
“ลาว-เขมร-พม่า-เวียดนาม-ไทย-จีน” นี่ มันเป็นอะไรที่มากกว่าคำว่า “ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง”
คือมันเป็น “ทั้งพี่-ทั้งน้อง-ทั้งญาติพี่น้อง” ตัดกันไม่ตาย-ขายกันไม่ขาด ก่อนมีประวัติศาสตร์อนุภาคลุ่มน้ำโขงด้วยซ้ำ
เป็นนิมิตหมายที่ดีมากๆ ที่ได้เห็น ๒ ประเทศไทย-ลาวใกล้ชิด รักใคร่ มีจิตร่วมทุกข์-ร่วมสุข เป็นเนื้อเดียวกัน
ลึกซึ้งเกินบรรยายที่ได้เห็น “ไทย-ลาว” แนบแน่นเช่นนี้
อยากให้อ่านเรื่องนี้ “Fuangrabil Narisroj” ท่านโพสต์
ผมอ่านที่เขาแชร์กันต่อๆมา ก็ลอกมาให้อ่านอีกที ดังนี้
………………………
ภาพพ่อ
มีเพื่อนๆ อยากฟังแง่มุมต่างๆ ของในหลวง ร.10 ที่คนทั่วไปไม่ทราบจากประสบการณ์ที่ผมเคยถวายงานพระองค์ท่านอีก เพื่อนๆ บอกว่าอ่านแล้วดีต่อใจ ทำให้เข้าใจพระองค์ท่านมากยิ่งขึ้น
ขอเล่าสมัยที่ผมประจำการอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ นครหลวงเวียงจันทน์ 2 รอบ รอบแรกช่วงปี 2550-2554 และรอบที่ 2 ช่วงปี 2558-2560
ในช่วงประจำการรอบแรก ผมได้มีโอกาสถวายงานรับใช้พระองค์ท่านหลายวาระ เนื่องจากพระองค์ท่านทรงขับเครื่องบิน Boeing 737-400 ของสายการบินไทย เที่ยวบิน กทม.- เวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเที่ยวบินพาณิชย์ปกติ ในฐานะที่ทรงเป็น กัปตันของการบินไทย
ทุกครั้งที่สถานทูตได้รับแจ้งจากการบินไทย และทางในวังว่าพระองค์ท่านจะทรงขับเครื่องบินมาที่เวียงจันทน์ ในฐานะ กัปตันของการบินไทย
แต่เนื่องจากสถานะของพระองค์ท่านคือ องค์รัชทายาทของในหลวง ร.9 ดังนั้น ทางสถานทูตจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมถวายอารักขาให้เต็มที่ให้สมพระเกียรติของพระองค์ท่าน
ในหลายวาระพระองค์ท่านเมื่อทรงขับเครื่องบินมาถึงเวียงจันทน์แล้ว ก็ทรงประทับรออยู่ในห้องกัปตัน (cockpit) เพื่อรอรับผู้โดยสารใหม่จากเวียงจันทน์ เข้ากทม. ต่อไป
ทางสถานทูตก็แค่จัดเตรียมห้องรับรองที่ท่าอากาศยานวัดไต ไว้เผื่อกรณีที่พระองค์ท่านจะใช้ห้องเผื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ
แต่ก็มีบางวาระที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เข้าเวียงจันทน์ เพื่อทรงประทับแรม 1 คืน เพื่อรอทำหน้าที่ในเที่ยวบินวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นปกติเหมือน ลูกเรือ (Air Crew) คนนึงของการบินไทยจริงๆ
และถึงแม้เราจะได้รับแจ้งจากทางในวังและทาง TG ว่าในกรณีที่เข้ามาประทับแรมที่เวียงจันทน์ นั้น พระองค์ท่านไม่ประสงค์ให้มีพิธีต้อนรับใดๆ
ไม่ประสงค์ให้เตรียมขบวนเสด็จฯ เพราะพระองค์จะทรงประทับในรถตู้ที่ TG จัดให้ ไม่ต้องมีการปิดถนน ไม่ต้องมีรถตำรวจนำแต่อย่างใดทั้งสิ้น รถตู้พระที่นั่งก็ใช้การจราจรปกติเหมือนคนทั่วไป
อย่างไรก็ตามในสถานะที่ทรงเป็นองค์รัชทายาทของแผ่นดิน ถึงแม้จะเป็นพระประสงค์ดังกล่าว แต่ทว่าสถานทูตก็มิอาจวางเฉยได้
ท่านทูตไทยจึงได้มอบหมายให้ผมไปแจ้งประสานกับทางการลาว ในที่นี้คือ กรมพิธีการทูตลาว เพื่อให้ฝ่ายลาวทราบตามพระประสงค์
วันที่ผมไปเจรจากับทางผู้ใหญ่ฝ่ายลาว ยังจำคำพูดของท่านผู้ใหญ่ลาวได้ดีว่า ทางลาวบ่สามารถทำตามที่ “องค์มงกุฏ” ต้องการได้ดอก (ฝ่ายลาวเรียกพระองค์ท่านแบบนี้ เพราะตอนนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร แต่ตอนนี้ฝ่ายลาวเรียกพระองค์ท่านว่า “เจ้ามหาชีวิต” นับตั้งแต่วันที่ทรงขึ้นครองราชย์)
ซึ่งทางผู้ใหญ่ฝ่ายลาวรับทราบถึงพระประสงค์ดังกล่าว แต่มิสามารถวางเฉยได้เช่นกัน เพราะหาก องค์มงกุฏ มาเกิดประสบเหตุอะไรขึ้นที่แผ่นดินลาว ทางฝ่ายลาวก็จะเสียใจและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ผลสรุปการเจรจาคือ ทางฝ่ายลาวขอจัดตำรวจลับนอกเครื่องแบบ คอยถวายการอารักขาอยู่ห่างๆ รถที่ฝ่ายตำรวจลาวใช้ก็ไม่ใช่รถตำรวจ แต่เป็นรถเก๋งส่วนบุคคลธรรมดา
โดยฝ่ายลาวก็ประสานกับผม และ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของไทยประจำลาว (ซึ่งต้องทำตามหน้าที่ “ราชองครักษ์” ด้วย) ตลอดเวลา
โดยทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายลาวแต่งตัวนอกเครื่องแบบ คอยเฝ้าถวายอารักขาอยู่ห่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ประทับอยู่ในลาว
ที่เป็นความทรงจำที่ประทับใจผมจนถึงทุกวันนี้ คือ เมื่อรถตู้พระที่นั่งที่ทรงประทับร่วมกับลูกเรือการบินไทย ผ่านที่บริเวณ “ประตูชัย” ที่เปรียบเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของเวียงจันทน์ พระองค์ท่านก็เสด็จฯ ลงมาถ่ายรูปร่วมกับคนอื่นๆด้วย
ในตอนนั้นที่บริเวณประตูชัย ก็มีนักท่องเที่ยวพอสมควร แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระองค์ท่าน สักพักผมกับผู้ช่วยทูตทหารที่คอยเฝ้าอารักขาอยู่ห่างๆ
สักพักก็ได้ยินช่างถ่ายรูปชาวลาวคนนึงที่คอยถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวแถวนั้น พูดกับคนลาวด้วยกันพร้อมชี้ไปที่พระองค์ท่านว่า คนๆ นั้นเหมือน “องค์มงกุฏ” ของไทยมากเด้อ
ผมกับผู้ช่วยทูตทหารก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่ได้ตอบว่าอะไร สักพักหลังจากถ่ายรูปเสร็จก็เสด็จฯ ขึ้นรถตู้เข้าโรงแรมที่พักต่อไป
ตอนค่ำทรงอยากไปเสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับทีมลูกเรือของ TG ทางฝ่าย TG ก็เลยหารือกับทางสถานทูตและฝ่ายลาวว่าจะเลือกร้านอาหารใดดีที่อยู่ริมโขง และบรรยากาศสบายๆ
สุดท้ายก็เลือกได้ร้าน “โขงวิว” ที่ทุกฝ่ายมองว่าเหมาะสมที่สุด เพราะกว้างขวาง โอ่โถง วิวทิวทัศน์ดี
ก็เผอิญอีกเช่นกันที่ร้าน “โขงวิว” นี้ เจ้าของเป็นชายหนุ่มชื่อ พุด เป็นลูกผู้ใหญ่ลาว (ตอนนั้นบิดาของพุดเป็น รมว.ศธ.ของลาว และปัจจุบันบิดาของพุด คือ ท่านพันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรีของสปป.ลาว)
พุดนี้สนิทสนมกับผมดี เพราะทางสถานทูตได้ให้ทุน พุดไปเรียนจนจบปริญญาตรีที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬา (ปัจจุบันเท่าที่ทราบ พุดกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่ ม.แม่โจ้)
พอพุดทราบว่าพระองค์ท่านจะเสด็จฯ มาเสวยพระกระหารค่ำเป็นการส่วนพระองค์กับทีมลูกเรือ TG พุดก็ดีใจมากตื่นเต้น ถามผมว่าต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษมั้ย
ผมก็บอกพุดไปว่า ทำตัวสบายๆ พระองค์ท่านไม่ต้องการให้ทางร้านจัดเตรียมพิธีอะไรให้เป็นที่เอิกเกริก ขอแต่ว่าให้ พุด ช่วยเตรียมสำรองโต๊ะ ในบริเวณที่เป็นสัดส่วน และบอกพ่อครัวแม่ครัวให้โชว์ฝีมือทำอาหารลาวถวายพระองค์ท่านให้เต็มที่เท่านั้นก็พอ
สิ่งที่ผมเล่าสู่ให้เพื่อนๆ ฟังนี้ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน จึงอยากถ่ายทอดให้เพื่อนๆ รับทราบถึงพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ท่านในอีกแง่มุมนึงที่คนทั่วไปอาจไม่ทราบครับ
#ทรงพระเจริญ
Cr.Fuangrabil Narisroj
…………………………
จบครับ!
ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก
Thailand Volleyball Association สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย