โง่แล้วโทษ “กล้วย”!
อย่างนี้ต้องให้ “เพื่อไทย-อนาคตใหม่” กินไข่แทนกล้วย เยื่อหุ้มสมองจะได้แข็งแรง
คิดอะไรได้มากกว่า เอะอะ “วอล์คเอาท์”
นี่ถ้าไม่วอล์คเอาท์………
อยู่โหวตในสภาเมื่อวานซืน (๔ ธค.๖๒) รัฐบาลหงายท้อง แพ้เป็นครั้งที่ ๓ ไปแล้ว!
คิดดูง่ายๆ นะ
สส.ทั้งหมดมี ๔๙๘ คน กึ่งหนึ่งก็ ๒๔๙ สภาจะครบองค์ประชุมก็ต้องมี ๒๕๐ เสียงขึ้นไป
ถ้าฝ่ายค้านเฉลียวซักนิด ก็จะรู้ว่า ฝ่ายรัฐบาล ทั้งลากิจ ลาป่วย ทั้งหง่อมใกล้ตายมาไม่ไหว ทั้งถูกให้พักการทำหน้าที่ ทั้งลบเลี่ยงเฉลียงคุก รวมแล้วเป็นสิบ
ชัวร์ๆ อีก ๓ คน จะต้องงดออกเสียงตามมรรยาท คือประธานสภาและรองฯ
ชัวร์ในชัวร์ ประชาธิปัตย์ฝ่ายแค้นนายกฯ จะยกมือสวนอีก ๕-๖ คน
คิดสะระตะแล้ว เต็มที่เมื่อวานซืน
รัฐบาลเหลือเสียงถึง ๒๔๐ หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ นับยังไงๆ ก็ไม่ถึง ๒๕๑ เสียง คือไม่ครบองค์ประชุม
ถึงครบ ตอนโหวต “เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย” กับการตั้งกมธ.ศึกษา ม.๔๔
โอกาสรัฐบาลแพ้มากว่าชนะ!
เพราะในเสียงปริ่มน้ำ ซ้ำขาดหาย แถมประชาธิปัตย์ฝ่ายแค้นนายกฯ อีก ๔-๕ เสียง จะโหวตสวนไปผสมให้ฝ่ายค้าน
บวกกับ “ก็ไม่แน่”…….
ถ้าไม่วอล์คเอาท์ เพื่อไทย ๓ คน เศรษฐกิจใหม่ ๔ คน และประชาชาติ ๑ คน อนาคตใหม่ ๓ คน ด้วยพวกอยู่พร้อม
อาจกินไข่ ไม่กล้ากินกล้วยก็เป็นได้!
แต่เพราะฉลาดล้นกระโหลกของเพื่อไทย+อนาคตใหม่ นั่นแหละ ทำให้รัฐบาลทั้งที่เสียงขาดๆ วิ่นๆ ตูดกลับได้แช่น้ำ
คิดดูนะ….
ถ้าไม่วอล์คเอาท์ แค่ ๒ พรรค “เพื่อไทย+อนาคตใหม่” ก็กว่า ๒๐๐ เสียง
แล้วยังอีก ๕ พรรค เสรีรวมไทย, ประชาชาติ, เศรษฐกิจใหม่, เพื่อชาติ และพลังปวงชนไทย
แถมได้แนวร่วมฝ่ายแค้นจากประชาธิปัตย์อีก ๔ เสียง มีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายเทพไท เสนพงศ์, นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ และนายอันวาร์ สาและ
เนี่ย…
เผลอๆ ฝ่ายค้านคว่ำฝ่ายรัฐบาลได้เป็นรอบที่ ๓!
แต่ดันไปวอล์คเอาท์ รัฐบาลเลยปิดประตูแพ้
ต่อให้ประชาธิปัตย์โหวตสวนอีกครึ่งพรรค รัฐบาลก็ยังชนะ
เพราะฝ่ายค้านวอล์คเอาท์แล้ว ยังปรากฏว่า สส.ในที่ประชุมวันนั้น มีถึง ๒๖๑ คน
กึ่งหนึ่ง ก็แค่ ๑๓๑ คนขึ้นไปเท่านั้นเอง!
ฉะนั้น สส.จากเพื่อไทย อนาคตใหม่ เศรษฐกิจใหม่ ประชาชาติ ที่ร่วมประชุม ๑๑ คน นั่งเฉยๆ แค่งดออกเสียง
รัฐบาลก็ยังชนะอยู่ดี!
อย่าไปโทษ ๑๐ กว่าคนซีกค้านที่ร่วมโหวตว่ากินก้ง-กินกล้วยไปเลย เพราะตัวเองนั่นแหละกินคล้วย
จึงทำให้สมองเลอะเลือน เป็นเหตุให้รัฐบาลชนะทางคณิตศาสตร์ว่าด้วย “จำนวนเสียงสส” เท่าที่มีอยู่ในที่ประชุม
นอกจากองค์ประชุมครบแล้ว
การโหวต ที่ใช้เกณฑ์ “สส.เท่าที่มีอยู่” ในที่ประชุมขณะนั้น เท่ากับลดจำนวน “เสียงข้างมาก” ที่ต้องใช้ในการโหวตลงไปโดยปริยาย
รัฐบาลจึงผ่านคลองซุเอชได้แค่เสียงจุ๋มจิ๋ม!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า….
โง่แล้วยังเสือกนอนเตียง!
เอ้า………
มาดูอะไรสนุกๆ กลางสัปดาห์หน้ากันดีกว่า เรื่องตี๋ใหญ่ปล่อยกู้พรรคตัวเองนั่นแหละ
กกต.บอก ให้พรรคอนาคตใหม่ส่งเอกสารแก้ต่างไปให้คณะอนุกรรมการสอบสวน-ไต่สวน เส้นตายวันที่ ๒ ธค.
ทำแอ็คคอเดียน ……
บอกกกต. “พยายามสุดความสามารถแล้ว แต่ไม่สามารถส่งเอกสารให้กกต.ได้ทันตามกำหนด”
ขอขยายวลาอีก ๔ เดือน!?
กกต.เลยบอก ก็ขยายเวลาให้จนสุดความสามารถแล้วเช่นกัน
บัดนาว “เลยกำหนดเวลา” ที่ให้พรรคยื่นเอกสารชี้แจง กรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปล่อยกู้ให้พรรคเพื่อใช้จ่ายช่วงการเลือกตั้งเป็นเงิน ๑๙๑ ล้านบาทแล้ว
กกต.ถือว่า……
พรรคอนาคตใหม่ “ไม่ติดใจ”
คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน จะ “ตัดพยานหลักฐาน” ในส่วนที่พรรคยังไม่ชี้แจงเพิ่มเติมออกไป โดยจะพิจารณาจากพยานหลักฐานเท่าที่มีเท่านั้น
จากนั้น …….จะทำเรื่องเสนอขึ้นไปยังกกต.ชุดใหญ่ ซึ่งตามตารางประชุม กกต.ชุดใหญ่ จะพิจารณาวินิจฉัยกันในวันที่ ๑๑ ธค.นี้
ว่านายธนาธร พรรคอนาคตใหม่ กระทำผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.หรือ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง หรือไม่?
ก็อีก ๕ วัน เสี่ยเงินกู้ ก็จะรู้ ว่าที่ปิยบุตรสุดหล่อบอก กฎหมายไม่ห้าม ทำได้ นั้น
ถูกต้องตามกฎหมายมหาชนหรือไม่?
เรื่องนี้ ต้องฟังที่ท่าน “ชูชาติ ศรีแสง” เคยให้ความรู้เป็นวิทยาทานไว้ เมื่อ ๒๒ พ.ค.๖๒ ดังนี้
Chuchart Srisaeng
…..กรณีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจำนวน ๑๑๐ ล้านบาท พิจารณาไปทางไหนมันก็มืดมิดสนิท
เคยเขียนว่า พรรคการเมืองจะนำเงินของพรรคไปใช้หนี้เงินกู้ยืมไม่ได้
ถ้าฝ่าฝืน หน.พรรคและกก.พรรคมีความผิดตามมาตรา ๑๓๒ มีโทษคุกตั้งแต่ ๕ ปี ถึง ๑๐ ปี ฯลฯ
…..แต่ยังมีปัญหาอื่นๆ ด้วย กล่าวคือ ตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา ๖๒ ไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองกู้ยืมเงิน
ซึ่งเมื่อพรรคการเมืองกู้ยืมเงินไม่ได้
การที่นายธนาธรอ้างว่า ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจำนวน ๑๑๐ ล้านบาท ย่อมไม่อาจกระทำได้
…..ดังนั้นเงินจำนวน ๑๑๐ ล้านบาท จึงต้องถือว่าเป็นเงินที่นายธนาธรให้แก่พรรคอนาคตใหม่
ซึ่งก็คือ เป็นการ “บริจาค” ให้แก่พรรคอนาคตใหม่นั่นเอง ทั้งนี้ เป็นไปตามคำนิยามในมาตรา ๔ ที่ว่า
“บริจาค” หมายความว่า การให้เงินหรือทรัพย์สินแก่พรรคการเมือง
…..ดังนั้นจึงต้องถือว่านายธนาธรบริจาคเงินดังกล่าวให้แก่พรรคอนาคตใหม่
แต่ตามมาตรา ๖๖ วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้บุคคลใดบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมือง มีมูลค่าเกิน ๑๐ ล้านบาท ต่อพรรคการเมืองต่อปี
…..วรรคสอง ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งมีมูลค่าเกิน ๑๐ ล้านบาทต่อปี
…..การที่พรรคอนาคตใหม่ รับเงินจำนวน ๑๑๐ ล้านบาท มาใช้จ่าย เพื่อดําเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เป็นการรับเงินบริจาคที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเกินจำนวนตามมาตรา ๖๖ จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน มาตรา ๗๒
…..มาตรา ๗๒ ห้ามมิให้พรรคการเมือง และผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
…..เมื่อมีการฝ่าฝืนมาตรา ๗๒ ก็เป็นกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๒ (๓)
…..มาตรา ๙๒ เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
….(๓) กระทําการฝ่าฝืน ฯลฯ มาตรา ๗๒ หรือมาตรา ๗๔
…..เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดําเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองกระทําการตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น
….สรุปได้ว่า เรื่องเงิน ๑๑๐ ล้านบาท อาจมีผลให้พรรคอนาคตใหม่ ถูกยุบเหมือนพรรคไทยรักษาชาติ และกรรมการบริหารพรรค ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เช่นเดียวกับกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ
นายธนาธรและบริวารจะอ้างว่าถูกคสช.กลั่นแกล้งไม่ได้ เพราะนายธนาธรและโฆษกพรรค เป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้เอง!
ครับ…
นี่เป็นแนวกฎหมายที่ท่านชูชาติ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาให้ไว้ ตัดแปะไว้ตรวจหวยเงินกู้กันได้เลย
ตามขั้นตอนนะ…….
ในชั้นกกต.พิจารณาแล้ว ถ้าเห็นว่ากรณีนี้ เข้าข่ายความผิดตามพรป.เลือกตั้งและพรป.พรรคการเมือง
กกต.ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
ถ้าไม่เข้าข่าย ก็จบในชั้นกกต.!
จะจบหรือส่งต่อศาล……
กุญแจที่จะเป็นไกด์ไลน์ในการตามดูเรื่องนี้ อยู่ที่คำว่า “ประโยชน์อื่นใด”
ปิยบุตร “อาจารย์กฎหมาย” โด๊ปไข่หลายๆ โหลหน่อยนะครับ!