ผักกาดหอม
แยกให้ออกนะครับ
กระแสสร้างโลกใหม่ของคนรุ่นใหม่ กับการทำลายวัฒนธรรม
ความเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กับทุกเรื่องบนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์ ยันทฤษฎีวิทยาศาสตร์-ดาราศาสตร์
ยกตัวอย่างล่าสุด ที่เคยเชื่อกันว่า “บิ๊กแบง” (Big Bang) การขยายตัวของสรรพสิ่งครั้งใหญ่เมื่อ หมื่นสี่พันล้านปีก่อนนั้น คือกำเนิดของจักรวาล
ล่าสุดอาจไม่ใช่เสียแล้ว
เมื่อนักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล อังกฤษ ใช้ ทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัม (Quantum Gravity – QG) พิสูจน์ถึงความเป็นไปได้ที่ว่าจักรวาลอาจดำรงอยู่อย่างที่เราเห็นมาโดยตลอด
ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือ บิ๊กแบง
หรือถ้าหาก บิ๊กแบง มีอยู่จริงก็เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดตามมาภายหลังเท่านั้น
เช่นเดียวกับสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ หากมีเหตุมีผลให้เปลี่ยน
มาเข้าเรื่อง “พระเกี้ยว” กันอีกวัน
ต้องแยกให้ออกนะครับ กระแสที่คนรุ่นใหม่บางคนบางกลุ่มกำลังโหมกันอยู่ ซึ่งบางเรื่องมีธงเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงวิวัฒน์ แต่เป็นเชิงทำลาย
การอัญเชิญพระเกี้ยว งานฟุตบอลประเพณี เป็นกิจกรรมที่นิสิตจุฬาฯ ส่วนใหญ่อยากมีส่วนร่วม
แต่ช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ มีการสร้างกระแสล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเพณีอันดีงามที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี บางประเพณีปฏิบัติมาหลายชั่วอายุคน ถูกชุดข้อมูลใหม่โจมตีว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำ
ทำให้มนุษย์ไม่เท่ากัน
และยกเป็นเหตุผลว่า ไม่จำเป็นต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์
ยกตัวอย่าง “เจ พัทธจิต ตั้งสินมั่นคง” อดีตผู้อัญเชิญพระเกี้ยว งานฟุตบอลประเพณี ครั้งที่ ๖๔ (ปี ๒๕๕๑) โพสต์เฟซบุ๊กไปเมื่อสองวันก่อน
“…เห็นมีมิตรสหายหลายคนแชร์มาให้ดูว่า มีการยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานบอลแล้ว
จากนี้ไป ภาพนี้คงจะกลายเป็นเพียงอดีต เป็นหลักฐานที่บอกเล่าค่านิยมทางสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง…ที่มันหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว
พูดตรงๆ ว่า ตอนที่ไปสมัครคัดเลือกผู้อัญเชิญฯ หรือแม้แต่ตอนที่นั่งบนเสลี่ยงที่มีคนจำนวนมากแบกหาม เรายังคงเป็น ignorant ที่คิดเพียงว่า นี่เป็นกิจกรรมนึงของมหาวิทยาลัย และดีใจเหลือเกินตอนที่ผ่านด่านสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์กลุ่ม กิจกรรมกลุ่ม สัมภาษณ์เดี่ยว มาได้อย่างยากเย็นจนสุดท้ายได้รับเลือก…
เราไม่ทันคิดด้วยซ้ำ ว่า นี่คือเครื่องสะท้อนและเป็นการผลิตซ้ำระบอบอำนาจนิยม
ในฐานะนิสิตเก่าคนนึง เราดีใจนะ ที่เห็นจุฬาฯ ก้าวหน้าไปขนาดนี้ เห็นนิสิตรุ่นนี้ อบจ.รุ่นนี้ที่มีความคิดและ awareness ต่อสังคมไปไกลกว่าตอนที่เราอายุเท่าพวกคุณมาก…เรานับถือในความกล้าตั้งคำถามและกล้าเปลี่ยนแปลง…ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเผชิญแรงต้านจากศิษย์เก่ามากมาย…
เราหวังเหลือเกินว่า สิ่งนี้จะแปลว่า ตัวมหาลัยและสังคมไทยเองได้เดินมาไกลมากจากจุดที่มันเคยอยู่เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว
เมื่อโลกเปลี่ยนไป ทุกค่านิยมย่อมมีวันหมดสมัย
และเมื่อมันหมดสมัยแล้ว ก็ควรถูกปฏิรูป หรือแทนที่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ…ก่อนที่ค่านิยมที่ล้าหลังนั้น จะกลายเป็นตรวนโซ่ยึดตัวเองกับอดีต หรือกลายเป็นกรงขังตัวเองไปในที่สุด
เราเชื่อนะว่างานบอล version ใหม่ที่ ‘ให้คนเท่ากัน’ จะมีสีสันและมีอะไรให้รอคอยยิ่งกว่าเดิม
โพสต์นี้อธิบายเรื่องราวได้ดีทีเดียว
กว่า ๑๐ ปีที่แล้ว “เจ พัทธจิต” มองการนั่งบนเสลี่ยงที่มีคนจำนวนมากแบกหาม เป็นกิจกรรมนึงของมหาวิทยาลัย
ไม่ใช่เรื่องคนไม่เท่ากัน
เมื่อเวลาล่วงเลยมา เพิ่งฉุกคิดว่านี่ คือเครื่องสะท้อนและเป็นการผลิตซ้ำระบอบอำนาจนิยม
เปลี่ยนความคิดเพราะ “เนติวิทย์” เคลื่อนไหวให้เหตุผลว่า คนต้องเท่ากัน
มันใช่เรื่องคนเท่ากัน หรือมีความคิดอื่นแฝงอยู่กันแน่?
ในโลกนี้มีวัฒนธรรมแบกเกี้ยวหามเสลี่ยงจำนวนมาก
โดยเฉพาะวัฒนธรมในชาติเอเชีย
แต่น่าจะมีที่เดียวมองว่าเป็นเรื่อง คนไม่เท่ากัน คือสังคมคนที่ปฏิเสธสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย
ฉะนั้นทำลายเสีย
การทำลายมรดกทางวัฒนธรรม คือการทำลายความเป็นมนุษย์
กลุ่มเนติวิทย์ อาจจะมองผลกระทบในระยะยาวไม่ออกว่า เมื่อตัวเองทำลายวัฒนธรรมแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา
แนวคิดแบบ เนติวิทย์ คือการส่งสัญญาณ ทำลายในเรื่องอื่นๆ ซึ่งเจ้าตัวอาจไม่ทันคิด หรือรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมไทย
รุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เพราะไม่เฉพาะชาวจุฬาฯ จำนวนมากที่ยังคงเห็นว่าการอัญเชิญพระเกี้ยวคือประเพณีอันดีงาม ที่นิสิตต่างต้องการมีส่วนร่วมเหมือนที่ “เจ พัทธจิต” เห็นเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว
แต่ประชาชนทั่วไปยังมองว่า การต่อต้านประเพณี การอัญเชิญพระเกี้ยวนั้น คือการปลุกกระแสต่อต้านสถาบัน
มันไม่ใช่เรื่องค่านิยม ที่จะเปลี่ยนกันตามใจชอบของคนไม่กี่คน
แต่เป็นเรื่องแนวคิดทำลายรากเหง้าของประเทศไทย
ไม่ใช่เรื่องซ้ายจัด ขวาจัด
แต่เป็นเรื่องการทำลายมรดกทางวัฒนธรรม
ที่อังกฤษ ญี่ปุ่น ต่างก็มีมรดกทางวัฒนธรรม ที่สืบเนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยกันทั้งนั้น
และสืบสานมาจนถึงทุกวันนี้
ระหว่างที่ “เนติวิทย์” เคลื่อนไหว ล้มเลิกการอัญเชิญพระเกี้ยว อีกด้านหนึ่งที่ “เนติวิทย์” พึงรับรู้คือ เริ่มมีการโจมตี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่านโซเชียลด้วยชุดข้อมูลใหม่
เฟกนิวส์!
เช่น “ร.๕ ไม่ได้เลิกทาสเอง แต่เพราะฝรั่งตะวันตกบังคับให้เลิก จำต้องเลิกเพื่อจะได้มีระบบกษัตริย์ต่อ”
นี่คือความคิดที่ตื้นเขิน
ดูเหมือนขบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จ้องทำลาย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เมื่อมีโอกาส โดยอ้างประวัติศาสตร์ที่บิดเบือน
ของจริงคืออะไร?
ขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ประทับอยู่ ณ พระตำหนักอันสวยงามที่เรียกว่าพระตำหนักสวนกุหลาบ (Rose – Planting House) นั้น แม้ว่ายังทรงพระเยาว์พระชันษาก็ตาม พอพระองค์ทรงทราบว่า ประธานาธิบดีลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกาถูกลอบสังหารถึงแก่อสัญกรรม จึงตรัสว่า
“…ถ้าหากพระองค์ทรงมีโอกาสได้ ปกครองประเทศสยามแล้ว พระองค์จะทรงปลดปล่อยทาสทั้งมวลให้เป็นอิสระ ชาติไทยจะต้องเป็นไทสมชื่อนามแห่งชาติ…”
มีประวัติศาสตร์ปรากฏเป็นหลักฐานว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ทอดพระเนตรปัญหาต่างๆ ด้วยพระองค์เอง
ทรงริเริ่มดำเนินการด้วยพระองค์เองก่อนที่เหตุการณ์จะสุกงอมจนเกินไป
และก่อนจะมีการบีบบังคับจากทางอื่นๆ
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดาย คนรุ่นใหม่เสพประวัติศาสตร์ตัดแปะจากโซเชียล และเชื่อกันหัวปักหัวปำโดยไม่มีการตรวจทาน
ขบวนการนี้ต่างคนต่างทำ หรือร่วมมือกันทำ ก็ตามที แต่ผลที่ออกมาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ปลุกปั่นเพื่อล้มล้าง