กรณีผลชันสูตรชิ้นเนื้อวัวแดงในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พบป่วยเป็น “โรคลัมปี สกิน” เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการตามมาตรการ และประสานทุกภาคส่วนติดตามสถานการณ์ และดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวด

22 ตุลาคม 2564 นายธวัชชัย เพชระบูรณิน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 เปิดเผยว่า กรณีผลการชันสูตรชิ้นเนื้อของวัวแดงในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ว่าเป็นโรคลัมปี สกิน หรือไม่นั้น
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 พบซากวัวแดงที่เสือโคร่งล่าเป็นอาหาร โดยเป็นซากวัวแดงเพศผู้ อายุประมาณ 2 ปีครึ่ง – 3 ปี ลักษณะของซากยังใหม่ และมีร่องรอยถูกเสือโคร่งกินบริเวณสะโพกของวัวแดง และตามผิวหนังตรวจพบร่องรอยคล้ายโรคลัมปี สกิน นายสัตวแพทย์จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ และเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อและเลือดของซากวัวแดงดังกล่าว นำส่งชันสูตรที่ห้องปฏิบัติการ

ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 ได้รับรายงานผลการวินิจฉัยจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดพิษณุโลก แจ้งผลการตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส Lumpy skin disease virus (LSDV) จำนวน 1 ตัวอย่าง สรุปการวินิจฉัยได้ว่า วัวแดงป่วยเป็นโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease)

นอกจากนี้ ในเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าห้วยขาแข้งยังพบซากวัวแดงอีก 1 ตัว บริเวณใกล้จุดสกัดที่ 2 คลองขุนชาติ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา จึงได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ เพื่อส่งตรวจหาเชื้อที่ห้องปฏิบัติการ และทราบผลการชันสูตรว่าซากวัวแดงดังกล่าวป่วยเป็นโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) เช่นเดียวกัน

สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 จึงได้ประสานงานกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ดำเนินการติดตามสถานการณ์ เฝ้าระวัง และป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน ดังนี้ จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ และจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเพื่อป้องกันการลักลอบนำปศุสัตว์มาเลี้ยงในพื้นที่ใกล้แนวเขต ให้นำกลับไปเลี้ยงใกล้พื้นที่ชุมชน

และจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบ สังเกตอาการของสัตว์ป่าในกลุ่มวัวป่าและควายป่า ในพื้นที่ ผลการลาดตระเวนไม่พบสัตว์ป่าในกลุ่มวัวป่าและควายป่าตายผิดปกติแต่อย่างใด และทำการฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ตามยานพาหนะ และจัดทำบ่อจุ่มเท้าฆ่าเชื้อโรคของบุคคลที่เข้ามายังสำนักงานเขตฯ โดยดำเนินการที่ด่านตรวจหน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งแฝก

ทั้งนี้ ได้ติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า บริเวณด่านสัตว์ โป่ง ที่มีร่องรอยของวัวแดงผ่าน และติดตั้งกับดักแมลงพาหะเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อลัมปี สกิน โดยคณะสัตวแพทย์จากสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคลัมปี สกิน ถ่ายทอดความรู้และเทคนิคที่ถูกต้องในการทำโป่งเทียม เพื่อเป็นแหล่งเสริมธาตุอาหาร และคลังยา เป็นการช่วยเพิ่มความต้านทานโรคให้แก่สัตว์ป่า

โดยประสานงานกับปศุสัตว์จังหวัดอุทัยธานี ปศุสัตว์อำเภอลานสัก ปศุสัตว์อำเภอห้วยคต ปศุสัตว์อำเภอบ้านไร่ เพื่อสอบถามสถานการณ์ระบาด แนวทางการเฝ้าระวังป้องกัน การทำวัคซีนและมาตราการดำเนินงานของปศุสัตว์ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปศุสัตว์จังหวัดตาก จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

รวมทั้งแจ้งสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เพื่อแจ้งให้อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติพุเตย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งทางทิศใต้ และแจ้งสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 14 (ตาก) แจ้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก ซึ่งมีพื้นที่ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก ดำเนินการเฝ้าระวังโรคลัมปี สกิน และหากพบการระบาดของโรคลัมปี สกิน ในพื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียงขอให้แจ้งให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งทราบทันที

และหากพบสัตว์ป่าป่วย หรือซากสัตว์ป่า มีตุ่มขนาดใหญ่ประมาณ 2-5 เซนติเมตร ขึ้นที่ผิวหนังทั่วร่างกาย พบมากที่คอ หัว เต้านม ถุงอัณฑะ และช่วงขา รวมทั้งสัตว์ป่าที่มีอาการเดินกะเผลก ให้แจ้งสัตวแพทย์เข้าดำเนินการตรวจสอบ และเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันสาเหตุของการป่วยหรือตาย การทำลายซากโดยวิธีการฝังกลบและโรยปูนขาวตามหลักวิชาการ

 


Written By
More from pp
ไหว้พระจันทร์ปีนี้ ขอพรเจ้าแม่ทับทิม ณ อุทยาน 100 ปีจุฬาฯ เสริมสิริมงคลชีวิตรุ่งเรือง
สวนหลวง-สามย่าน ร่วมกับคณะกรรมการศาลเจ้าแม่ทับทิม อุทยาน 100 ปีจุฬาฯ จัดพิธีไหว้พระจันทร์ ในวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 เวลา 19.00...
Read More
0 replies on “กรณีผลชันสูตรชิ้นเนื้อวัวแดงในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พบป่วยเป็น “โรคลัมปี สกิน” เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการตามมาตรการ และประสานทุกภาคส่วนติดตามสถานการณ์ และดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวด”