2. มีเอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนกำหนด ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หรือ กรณีเคยติดเชื้อ และได้รับวัคซีน 1 เข็มในช่วง 3 เดือนหลังติดเชื้อ (เป็นประเทศที่กระทรวงต่างประเทศตรวจสอบว่าใบรับรองการติดเชื้อแบบเป็นทางการ) เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง ยกเว้นผู้มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน และเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครอง
3. มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่พบเชื้อโรคโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทางกรณีตรวจพบการติดเชื้อ ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าเคยติดเชื้อมาก่อนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำประกันสุขภาพ อย่างน้อย 50,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
4. มีใบจองที่พักโรงแรม อาจเป็นสถานกักกันที่ที่ทางราชการกำหนด (AQ, OQ, AHQ) หรือ โรงแรมที่เป็น SHA+ ที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการสำหรับตรวจหาเชื้อ ในวันแรกที่มาถึง โดยรวมค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR
5. เมื่อเดินทางมาถึงท่าอากาศยาน โหลดแอปพลิเคชั่นหมอชนะ (ภาษาอังกฤษ) เดินทางโดยรถที่จัดไว้โดยมีการกำกับการเดินทาง เพื่อเข้าพักตามโรงแรมที่จองไว้ รพ.คู่ปฏิบัติการทำการตรวจหาเชื้อโรคโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR ในวันที่ 0-1 โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองและต้อง อยู่ในโรงแรม จนได้รับผลการตรวจอย่างเป็นทางการ
6. เมื่อผลการตรวจหาเชื้อ ไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางได้ ตามความต้องการ และจะพักในโรงแรมที่จองและจ่ายเงินไว้แล้วล่วงหน้า หรือกลับไปพักที่บ้าน(กรณีมีที่พำนักในไทย)ก็ได้ โดยโรงแรมจะแนะนำให้สังเกตอาการอย่างน้อย 7 วัน หากมีอาการ ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อจากโรงพยาบาลใกล้ที่พัก หรือ ตรวจ ATK ที่โรงแรม หากพบเชื้อรายงานเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่
นายธนกรฯ ยังได้กล่าวถึง สนามบินที่ปัจจุบันมีการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (มีเที่ยวบิน Charter เท่านั้น) และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ (มีเที่ยวบิน Charter เท่านั้น) ส่วนสนามบินที่แจ้งความพร้อมแล้ว แต่ยังไม่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ และท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งจะยืนยันในวันที่ 27 ต.ค. นี้
ทั้งนี้ ททท. ได้ประมาณการแผนการเปิดประเทศของรัฐบาลในวันที่ 1 พ.ย. 2564 แบบไม่ต้องกักตัว จะทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลับมาฟี้นตัว โดยในไตรมาสที่ 4/2564 และ ไตรมาสที่ 1/2565 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตในรูปแบบตัววี (V) และปีหน้าจะมีรายได้ประมาณ 50% ของปี 62 ที่มีรายได้ 2 ล้านล้านบาท และมีรายได้เพิ่ม 80% ของปี 62 ในปี 66
นายธนกรฯ ย้ำ ขอให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล