ฝ่ายค้านที่ไม่ได้เรื่อง-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

เขย่ากันน่าดู…
วานนี้ (๑ ตุลาคม) ฝ่ายค้านเขาประชุมกันใน ประเด็นที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา
พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติร่วมกันเพื่อลงนามในญัตติที่จะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนัดหมายยื่นพร้อมกันในวันจันทร์ที่ ๔ ตุลาคม
แบ่งยื่นเป็น ๔ ชุด คือ
ยื่นเอาผิดคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ
ยื่นเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ยื่นเอาผิด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ยื่นเอาผิด นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    ประเด็นที่จะยื่นเอาผิด อาทิ เรื่องการไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ เรื่องการผูกขาดเอื้อประโยชน์เกี่ยวกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
เรื่องการทุจริตการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค
เรื่องส่อไปในทางทุจริตการจัดซื้อชุดตรวจ ATK
เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนที่ไร้ประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องทุจริตเกี่ยวกับยางพารา เป็นต้น

    จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ก็พอจะมองออกครับว่า หลังจากยื่น ป.ป.ช.แล้ว ผลจะออกมาอย่างไร
และเมื่อเทียบกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กรณีโกงจำนำข้าว ที่มีตัวละคร มีพฤติกรรม ทำผิดกฎหมายที่ชัดเจน ก็ยิ่งเดาได้ไม่ยาก
ก็มันเงียบกริบ!

    หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซิโนแวค ชุดตรวจ ATK  ทุจริตเกี่ยวกับยางพารา ไม่มีการตามต่อโดยนักการเมืองฝ่ายค้าน
ไม่มีการลากไส้ให้เห็นว่าที่อภิปรายไปนั้นเป็นของจริง

    สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจึงอาจถือได้ว่าอยู่ในขั้นวิกฤต
ระบบตรวจสอบแทบจะล้มเหลว
เราไม่ได้มีรัฐบาลที่เลอเลิศ
แต่เรามีฝ่ายค้านที่ไม่ได้เรื่อง

    เสียงตะโกนด่าทอ รัฐบาลเผด็จการ อยู่มา ๗ ปี ไม่ทำอะไรเลย ฉะนั้นเมื่อมองในมุมการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

    ฝ่ายค้านปล่อยให้รัฐบาลเผด็จการอยู่ในอำนาจ ๗ ปีเต็มมาได้อย่างไร ใครต้องรับผิดชอบ
ตัวเผด็จการไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหรอกครับ เพราะใครหือสั่งตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรยังได้

    แต่เมื่อมีนักการเมืองกล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็ต้องรับผิดชอบต่อการเติบโตของเผด็จการด้วยมิใช่หรือ

    ถ้าไม่รับผิดชอบอะไรเลย เอาแต่อวดอ้างเป็นฝ่ายประชาธิปไตย หากินทางการเมืองไปวันๆ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรต่อประชาชน

     รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนไว้วันก่อน
“…ไม่ว่ายุคใดสมัยใด การเมืองไทยไม่เคยมีฝ่ายค้านที่มุ่งแต่จะล้มรัฐบาล ล้มนายกรัฐมนตรี จนหน้ามืด ตามัว เมาหมัด เหมือนกับฝ่ายค้านยุคนี้

    ฝ่ายค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีแล้ว ๒ ครั้ง ไม่ระคายผิวรัฐมนตรีแม้แต่น้อย ยิ่งครั้งหลังยิ่งอภิปรายไม่มีน้ำหนัก ทั้งยังใช้เอกสารเท็จ ข้อมูลเท็จ จนผู้อภิปรายบางคนต้องถูกดำเนินคดีไปตามๆ กัน

    เพราะความอยากจะไล่พลเอก ประยุทธ์ให้ได้ ฝ่ายค้านแสดงความเห็นสนับสนุนม็อบทุกชนิด รวมทั้งม็อบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แม้กระทั่งม็อบทะลุแก๊ส ที่ไม่เพียงไม่ใช่ม็อบ แต่เป็นอันธพาล ใช้อาวุธ ก่อการจลาจล เผา ทุบทำลายทรัพย์สินส่วนรวม ทุกวัน โดยไม่มีจุดหมาย ไม่มีเหตุผล จนประชาชนที่เป็นพลังเงียบเขาเอือมระอากันหมดแล้ว

    เมื่อมีผู้ร้องเรียนว่า พรรคฝ่ายค้านพรรคใหญ่ให้การสนับสนุนม็อบ ก็ออกมาปฏิเสธ แต่ยังบอกว่า อาจมีสมาชิกพรรคบางคนสนับสนุน ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับพรรค แต่ในการลงมติไม่ไว้วางใจ พรรคนี้ได้ออกคำสั่งให้ ส.ส.ทุกคน ลงมติไม่ไว้วางใจ มิฉะนั้นจะถือว่าขัดต่อหลักจริยธรรมของพรรค แต่การที่มี ส.ส.ไปสนับสนุนม็อบที่ทำผิดกฎหมาย กลับไม่ขัดกับหลักจริยธรรมของพรรค หรือว่าพรรคนี้ไม่รู้จักคำนิยามของคำว่า ‘จริยธรรม’

    ฝ่ายค้านจ้องจับผิดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทุกเรื่องมาตลอด ขณะนี้สถานการณ์โควิด-๑๙ ดีขึ้น ทั้งยังมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะสามารถจัดหาวัคซีน และฉีดวัคซีนได้ตามเป้า จะเอาวัคซีนแบบไหนก็มีให้เลือก กระนั้นฝ่ายค้านบางคน ก็ยังนำเรื่องการรับบริจาควัคซีนจากสหรัฐอเมริกาว่าเป็นความบกพร่องของไทย ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนที่จะบริจาคเพิ่ม ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง

    เมื่อม็อบก็ไม่ระคายผิวนายกฯ และนับวันยิ่งแผ่วลง เพราะคนไม่เอาด้วย เรื่องโควิด เรื่องวัคซีนก็โจมตีไม่ได้ถนัด  ก็หันมาโจมตีเรื่องกู้เงิน คงเป็นเพราะมันง่ายกว่าที่จะค้นหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชันมาโจมตี เรื่องน้ำท่วม ปลูกบ้าน ๒ ชั้น  เรื่องสวดมนต์ เรื่องคุยกับวัว ไม่ได้ย้อนกลับไปดูว่า สมัยที่พรรคตัวเองเป็นรัฐบาล น้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างสาหัสยิ่งกว่าสมัยใด และก็มีการจัดสวดมนต์ แต่ฝ่ายค้านสมัยนั้น เขาไม่ได้นำเรื่องสวดมนต์มาโจมตี เหมือนในสมัยนี้

    ความอยากล้มรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ แต่ล้มไม่ได้ ทำให้ฝ่ายค้านเมาหมัด เล่นกันทุกวิธี แยกแยะไม่ออก ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ขอให้ล้มได้เท่านั้นพอ

    พูดถึงเรื่องสวดมนต์ อย่าได้ดูหมิ่น ดูแคลน ลบหลู่ประเพณีความเชื่อนี้เป็นอันขาด เมื่อครั้งที่รัฐบาลจัดพิธีสวดมนต์ เมื่อโควิด-๑๙ ระบาดใหม่ๆ สมเด็จพระสังฆราชนำสวด บทสวดรัตนสูตร ซึ่งเป็นบทสวดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อขจัดโรคระบาด ก็มีพวกที่หวังผลทางการเมือง กล้าออกมาลบหลู่ หมิ่นแคลน

    สิ่งที่เราไม่รู้ สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มี ไม่ใช่ไม่คงอยู่ อย่างที่เราพูดกันเสมอว่า ‘ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่’ ไม่ใช่พูดกันเล่นๆ มีตัวอย่างมากมายของความหายนะของคนที่ ‘ไม่เชื่อ และลบหลู่’ ให้เห็น จึงขอย้ำอีกครั้งว่า
เวรกรรมมีจริง เพียงแต่เมื่อใดจะตามทันเท่านั้น รอดูกันไป…”

    เด็กรุ่นใหม่อาจไม่ให้ความสำคัญ หรือไม่เข้าใจคำว่า  “โครงสร้างพื้นฐาน-Infrastructure” กันมากนัก ส่วนใหญ่จะให้ความสนใจเรื่องฉาบฉวย เสียงด่ารัฐบาล เยินยอสรรเสริญพวกล้มเจ้า บนโลกออนไลน์มากกว่า

    มีไม่เยอะครับ ที่จะค้นหาคำตอบด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เสพกันตามโซเชียลนั้นมีข้อเท็จจริงอย่างไร
๗ ปีรัฐบาลลุงตู่ ทำอะไรไปบ้าง

    เอาแค่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ น่าจะทุบสถิติหารัฐบาลอื่นมาเปรียบเทียบไม่ได้
โครงสร้างพื้นฐาน เป็นโครงสร้างทางกายภาพใช้อำนวยความสะดวกสาธารณะ ที่รัฐบาลนี้ทำมีหลากหลายครับ  รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าใน กทม.-ปริมณฑล  มอเตอร์เวย์ รวมไปถึงระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก  (EEC)

    พวกนี้คือโครงสร้างพื้นฐานที่จะนำไปต่อยอดการพัฒนาประเทศทั้งสิ้น
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทุกรัฐบาลมีโอกาสที่จะสร้างผลงานด้วยกันทั้งนั้น แต่บางรัฐบาลเริ่มต้นก็ผิดพลาด  เพราะมุ่งแสวงหาผลประโยชน์มากกว่าที่จะทำเพื่อประชาชน

    เช่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะออก พ.ร.บ.กู้เงิน ๒ ล้านล้านบาท เพื่อนำไปทำโครงสร้างพื้นฐาน แต่เริ่มต้นก็เห็นความไม่ชอบมาพากล

    เงินกู้ ๒ ล้านล้านบาทเป็นเงินแผ่นดิน การใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องได้รับอนุญาตจากกฎหมาย ๔ ฉบับ คือกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายว่าด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ยกเว้นกรณีจำเป็นเร่งด่วน

    แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โครงการลงทุนที่บรรจุในแผนการกู้เงิน ๒ ล้านล้านบาท เป็นโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน

    การใช้จ่ายเงินแผ่นดินอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ตามรัฐธรรมนูญ แต่ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ๒ ล้านล้านบาทกำหนดให้รัฐบาลสามารถนำเงินกู้ไปใช้จ่ายได้ตามวัตถุประสงค์โดยไม่ต้องนำเงินส่งคลัง แตกต่างจาก พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ ทำให้การควบคุมการใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หมวดว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงตีตกไป

    ก็คล้ายกับกรณี พ.ร.ก.กู้เงิน ๓.๕ แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ชอบลัดขั้นตอน จนสุดท้ายแพ้ภัยตัวเอง

    ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจที่ขณะนี้เรามีฝ่ายค้านที่ไม่ได้เรื่อง
เพราะตอนเป็นรัฐบาล ไม่ได้ความ

Written By
More from pp
คนเดียวที่ให้คำตอบได้
ผสมโรง สันต์ สะตอแมน “สี่กุมารหาญกล้า ตรี คฑา จักร สังข์.. ปราบไปทั่วทั้งไตรจักร ยักษ์มารมิกล้าต่อกร กำจัดดัสกร มิเคยหวั่นความตาย...
Read More
0 replies on “ฝ่ายค้านที่ไม่ได้เรื่อง-ผักกาดหอม”