น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่คณะก้าวหน้าเผยแพร่ข้อความทางเฟซบุ๊กและนางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้าเผยแพร่ข้อความทางทวิตเตอร์เชิญชวนให้มีการต่อต้านกฎหมายภายใต้แคมเปญ #กูจะเปิดมึงจะทำไม พร้อมลิงก์รายละเอียด ให้ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปิดขายและให้นั่งทานในร้าน
โดยมีข้อความยอมรับว่าเป็นการเชิญชวนให้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย กล่าวอ้างว่ามีทนายความและบุคคลเพื่อเจรจาจัดการเรื่องคดีความ ดังนั้นจึงเป็นการชัดเจนว่าคณะก้าวหน้าและน.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนรู้ว่าเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายและมีเจตนาชัดเจนที่จะให้มีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย
น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า นโยบายมาตรการที่รัฐบาลตัดสินใจเป็นการพยายามสมดุลระหว่างการควบคุมโรคเพื่อสุขภาพของประชาชนและให้มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงได้มีนโยบาย “จำกัดกิจกรรม” แทน โดยอนุญาตให้ร้านอาหารสามารถเปิดขายได้ แต่ไม่ให้มีการนั่งรับประทานอาหารในร้าน เพราะข้อมูลทางการแพทย์ชัดเจนว่า เชื้อที่ระบาดในกรุงเทพฯ พบว่ามีสายพันธุ์อัลฟ่า 75% และเดลต้า 25% ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ติดต่อกันง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมมาก
การติดเชื้อปัจจุบันเป็นรูปแบบการติดเชื้อจากบุคคลสู่บุคคลและสาเหตุที่พบบ่อยคือรับประทานอาหารร่วมกัน อีกทั้งผู้เสียชีวิต 1 ใน 3 พบประวัติรับประทานอาหารในร้านอาหารร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นจึงต้องจำเป็นงดการรับประทานอาหารในร้าน แม้ว่าข้อเสนอของบุคลากรทางการแพทย์เรียกร้องให้มีการล็อคดาวน์เด็ดขาดเพราะระบบสาธารณสุขที่จะรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อติดขัดขาดแคลนก็ตามที
น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า ดังนั้นการที่ น.ส.พรรณิการ์ ให้การเชิญชวนให้ร้านอาหารฝ่าฝืนกฎหมายนั้น ต้องให้ข้อมูลครบถ้วนด้วยว่า ทุกร้านจะมีความผิดตามมาตรา 52 พรบ.โรคติดต่อ 2558 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และมีความผิดตามมมาตรา 18 พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ
ซึ่งคณะก้าวหน้าและ น.ส.พรรณิการ์ จะเข้าข่ายมีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด”
สิ่งน่าเห็นใจผู้ประกอบการร้านค้าที่เจอปัญหาโควิด19 อยู่แล้ว ยังมาเจอนักต้มตุ๋นหลอกลวงวางหลุมพรางให้ร้านอาหารมีความผิดอีก ซึ่งคณะก้าวหน้าและ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนก็เข้าข่ายจะต้องรับโทษในฐานะผู้ประกาศเชิญชวน มีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 วรรค 1 ที่บัญญัติว่า
“ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น” และหากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการรับโทษ ทางคณะก้าวหน้าและ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนจะต้องรับโทษด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า
“ถ้าได้มีการกระทำความผิดเพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ”
“ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและชดเชยให้กับร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงลูกจ้างก็สามารถใช้สิทธิรับการเยียวยาทั้งจากรัฐและจากระบบประกันสังคม สถาบันการเงินของรัฐเพิ่มมาตรการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำและมีมาตรการพักหนี้พักดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และยังเร่งมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเพื่อให้พ่อค้าแม่ขายผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นการกระทำของคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ และร้านอาหารที่จะเข้าร่วมกิจกรรมฝ่าฝืนกฎหมายนี้นอกจากจะไม่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว ยังทำให้ระบบเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขของประเทศถอยหลัง เป็นการทำความเสียหายให้เกิดต่อสุขภาพ ชีวิต และปากท้องของประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว