พี่เดชา ศิริภัทร กับ แม่โพสพ – นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

เข้าหน้าฝน ถึงฤดูทำนาของชาวนาไทย ฝนเริ่มลงเม็ดปรอย ฟ้าครึ้ม ชวนให้นึกถึงท้องทุ่ง และปลาหมอ ปลาช่อน แถกโคลนขึ้นมาเต็มคันนา อย่างที่ดิฉันเคยพบเจอในวัยเด็ก เมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน

เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสสนทนายืดยาวกับพี่เดชา ทางมูลนิธิข้าวขวัญได้ให้ครูเฉลิม พึ่งแตง ครูช่างเพชรบุรี ปั้นรูปและวาดรูป แม่โพสพ แม่เมรัยไว้ให้ เสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๓ แล้ว และพี่เดชาแจ้งดิฉันมาว่า ทางข้าวขวัญจะมารับผลงานของครูเฉลิมที่เมืองเพชรบุรี ในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้
แม่โพสพ แม่เมรัยจะได้ใช้เวลาช่วงเข้าพรรษา อยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี
คุยกันแล้ว ดิฉันก็นึกถึงเรื่องราวครั้งลงพื้นที่ทำงานกับพี่เดชา หลายช่วงเวลา หลายสถานที่ ทั้งชายแดนไทย ภาคต่างๆของไทย และในต่างประเทศ
มีหลากเรื่องราว ตลอดหลายสิบปีที่พี่เดชาพัฒนาเป็นหลักสูตรสอนนักเรียนโรงเรียนชาวนาขึ้นมา หลักสูตรหลักนั้นมี ๓ ระดับคือ
๑.ขั้นประถม-การควบคุมแมลง บริหารจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี
๒.ขั้นมัธยม-การปรับปรุงบำรุงดินโดยชีววิธี
๓.ขั้นมหาวิทยาลัย-การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าว
วิถีเกษตรยั่งยืนในโรงเรียนชาวนาของมูลนิธิข้าวขวัญนี้ พี่เดชา ศิริภัทร กล่าวถึงหัวใจสำคัญในการสอนลูกศิษย์ชาวนาจีนไต้หวัน ดังที่ดิฉันเคยบันทึกไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า
“เทคนิคของเราเป็นการทำตามหนทางของพระพุทธเจ้า นั่นคือการไม่เห็นแก่ตัว พึ่งตนเอง ไม่ใช้ความรุนแรง หลักการนี้ปรับให้เป็นรูปธรรมก็คือเราไม่ฆ่าแมลง ไม่เบียดเบียนใคร และใช้ปัญญาญาณจากธรรมชาติ ทุกสิ่งที่ทำต้องสอดคล้องครรลองธรรมชาติ เพราะเป้าหมายชีวิตของคนไทยแต่เดิมคือการบรรลุนิพพาน ดังนั้นชาวนาจึงต้องทำงานในผืนนาด้วยวิถีธรรม ไม่ทำลายดิน ไม่ทำลายน้ำ ไม่ทำลายอากาศ วิธีการใช้แมลงดีควบคุมแมลงเลวของเรา เป็นการรักษาสมดุลระหว่างแมลง ไม่ใช่มุ่งทำลายชีวิตเขา
เทคนิคนี้เราได้จากแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็จริง แต่ลูกศิษย์ของเรามีอยู่ทุกศาสนา ซึ่งทุกศาสนาก็ทำได้ และภาษิตโบราณของไทยยังมีอีกด้วยว่า คนฉลาดต้องตัดเกือกให้พอดีตีน คนโง่จะตัดตีนให้พอดีเกือก จากภาษิตนี้เราเทียบได้ว่า เมล็ดข้าวคือเกือก ท้องทุ่งคือตีน ตีนจะเปลี่ยนไม่ได้ ส่วนเกือกมันเปลี่ยนได้ชั่วชีวิต แต่ชาวนาไทยทุกวันนี้กลับตัดตีนให้เหมาะกับเกือก พวกเขาพยายามเปลี่ยนดินให้เข้ากับเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อหามาจากตลาด หรือได้รับมาจากรัฐบาล ข้าวขวัญจึงเข้าไปแก้ปัญหานี้โดยตรง เราไปแก้ปัญหาหลักที่เกือกหรือเมล็ดพันธุ์ คือต้องตัดเกือกให้เหมาะกับตีน เราจึงไปสอนให้ชาวนารู้จักการคัดเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสมกับผืนนาในท้องถิ่นนั้น”
หากสิ่งที่น่าสนใจยิ่งก็คือ ในการสอนชาวนาด้วยหลักสูตรทั้ง ๓ ระดับของมูลนิธิข้าวขวัญนี้ จะไม่เพียงให้แต่ความรู้ต่างๆทางด้านเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรยั่งยืนกับนักเรียนชาวนาเท่านั้น หากทางมูลนิธิข้าวขวัญ ได้อบรมให้ความรู้ เขย่ากรอบความคิดของนักเรียนชาวนาอย่างหนักควบคู่ด้วย ในเรื่องการเคารพบูชา “แม่โพสพ” เพราะตลอด ๓๐ กว่าปี ของการทำงานเรื่องข้าวกับชาวนาไทยมานี้ พี่เดชากล่าวให้ฟังว่า
“การสอนเทคนิคเกษตรอินทรีย์อย่างเดียวจะเปลี่ยนชีวิตชาวนาไม่ได้ เราจะต้องเปลี่ยนไปถึงรากความคิดของชาวนา ให้กลับมาเคารพแม่โพสพ มาอยู่กับความเมตตา จึงจะเปลี่ยนชาวนาให้มาใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ได้ หากสอนแต่เทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเดียว ชาวนารู้แค่เทคนิค กลับเข้าท้องนาไป เห็นรอบข้างยังใช้ปุ๋ยใช้ยา เห็นโฆษณาเข้าหัวอยู่ทุกวัน ชาวนาสู้ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวพวกเขาก็หันหลังให้เกษตรอินทรีย์ กลับไปใช้ปุ๋ยใช้ยาเหมือนเดิม มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ จะเปลี่ยนชาวนาได้ ต้องให้เขามาศรัทธาเชื่อมั่น และบูชาแม่โพสพ เป็นหลักทางใจให้ชาวนาไทยได้ยึดมั่นไว้ด้วย
นั้นแหละถึงจะเปลี่ยนชาวนา และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตชาวนาไทยได้อย่างแท้จริง”
ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ เทคนิคต่างๆในการทำเกษตรยั่งยืนที่พี่เดชาเปิดสอนชาวนาทั้งไทยและต่างชาตินั้น ในเมืองไทยแต่เดิม ไม่เคยมีการใช้ความรู้ประเภทนี้มาก่อน ดังเช่นการใช้จุลินทรีย์จากป่าในการปรับปรุงคุณภาพดินในไร่นา, การแกะเปลือกเมล็ดข้าว เพื่อคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ รวมทั้งวิธีการปรับปรุงดิน ปรับปรุงพันธุ์พืชอีกหลายอย่าง ดิฉันได้สอบถามพี่เดชาโดยตรงว่า พี่ไปได้ความรู้ในการเข้าไปเก็บหาจุลินทรีย์จากป่าดิบ เพื่อมาพัฒนาเป็นจุลินทรีย์ปรับปรุงดิน แล้วเผยแพร่เรื่องของจุลินทรีย์จากป่าดิบสู่ชาวนาไทยกับชาวนาต่างชาติ
ความรู้นี้พี่เดชาได้มาจากแห่งหนไหน?
พี่เดชาตอบคำถามนี้อย่างหนักแน่นชัดเจนว่า
“ผมรู้ว่าต้องไปเอาที่ป่าบริสุทธิ์ ตรงนี้ผมนึกได้เอง มันแว้บขึ้นมาเอง
แต่ที่จริงคือแม่โพสพมาสอนให้ ผมเชื่อว่าการที่ผมเข้าป่าดิบเพื่อไปเก็บหาจุลินทรีย์นั้น มาจากญาณทัศนะ(intuition)หยั่งรู้ด้วยจิตโดยตรงที่แม่โพสพมาสอนผม แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ยังต้องมาทดสอบดู และเราก็ได้จุลินทรีย์ดีที่สุดจากป่าดิบมาจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องของเวทย์มนต์ไสยศาสตร์ แต่แม่โพสพมาให้ความรู้นี้กับผม มีหลายครั้งที่นักวิชาการต่างชาติ อย่างเช่นนักวิชาการเกษตรจากไต้หวันได้พยายามถามผมว่า ความรู้นี้ผมได้มาอย่างไร ได้จากญี่ปุ่น เกาหลี หรือที่ไหน?
ผมตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า ได้จากการหยั่งรู้ด้วยจิตโดยตรง (intuition) และยังมีโปรเฟสเซอร์ชาวอินเดียที่ทำเรื่องพืชมาถามผมว่า ผมเจอเทคนิคการเก็บจุลินทรีย์จากป่าดิบ และใช้จุลินทรีย์ปรับปรุงดินท้องนาอย่างที่ข้าวขวัญพัฒนาขึ้นเป็นหลักสูตรโรงเรียนชาวนานี้ได้อย่างไร เขาถามด้วยว่า ใครมาสอนเทคนิคนี้ให้ เพราะผมไม่ได้เรียนจบมาทางพืช ผมเรียนเกษตรศาสตร์ก็จริง แต่ผมเรียนจบมาทางสัตว์
ผมตอบเขาว่า ผมไม่รู้ เทคนิคนี้มาจากที่ใดที่หนึ่ง แต่มาเป็นความรู้ของผมเพราะผมมีหน้าที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้วว่า จะต้องมาทำเรื่องข้าว และผมก็ยังมาเกิดในสุพรรณบุรี จังหวัดที่มีผืนนาหลายแสนไร่มากที่สุดในประเทศไทย และมาเกิดในครอบครัวเจ้าของโรงสีเมืองสุพรรณ ชีวิตผมผูกพันมากับข้าว และตอนนี้ผมเชื่อสนิทว่า ผมรู้เทคนิคต่างๆมาจากแม่โพสพ แม่โพสพให้ความรู้นี้กับผม นี่เป็นความเชื่อส่วนตัว คุณไม่ต้องเชื่อผมก็ได้
ผมมาเข้าใจเรื่องหน้าที่ของตัวเองเกี่ยวกับข้าวอย่างชัดเจน ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ ครั้งที่คุณโดโรธี แมคลีน แม่มดฝรั่งจากชุมชนฟินด์ฮอร์น สก็อตแลนด์มาเปิดอบรมในเมืองไทย จนกระทั่งติดต่อแม่โพสพได้แล้ว ผมถึงได้รู้ว่า ความรู้เรื่องนี้ผมไม่ได้รู้เอง แม่โพสพมาสอนให้ และแม่โพสพยังบอกผ่านคุณโดโรธีอีกว่า ท่านเลือกผมกับชาวข้าวขวัญมาทำเรื่องข้าว และมาสอนวิธีที่ถูกต้องให้ด้วย เพื่อจะให้เราไปสอนชาวนาต่อไป และไม่ใช่เฉพาะชาวนาไทยแต่เป็นชาวนาทั่วโลก
แม่โพสพเลือกผมเพราะผมเลือกมาทำเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนเกิด แต่ก่อนนี้ผมยังไม่รู้ตัว ผมติดต่อกับแม่โพสพโดยตรงไม่ได้ ตอนพบกับคุณโดโรธี คุณโดโรธียังบอกผมอีกด้วยว่าผมจะไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงแม่โพสพ แต่จะรู้เอง นี่เป็นคนละแบบกับคนที่ติดต่อแม่โพสพได้ สำหรับผม ๘๐% จะรู้อยู่แล้ว อีก ๒๐% อาศัยคนติดต่อแม่โพสพได้ช่วยต่อให้
โปรเฟสเซอร์อินเดียยังแนะนำให้ผมไปจดสิทธิบัตรความรู้เรื่องจุลินทรีย์นี้ไว้ด้วย ผมปฏิเสธทันที ผมไม่จด เพราะนี่ไม่ใช่ความรู้ของผม เป็นความรู้ของแม่โพสพ ท่านให้ความรู้นี้มา เพื่อให้ไปสอนคน ไปสอนชาวนาทั่วทุกพื้นที่ ไม่ใช่ให้เก็บไว้กับตัว และนี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการสอน ในการเผยแพร่เทคนิคการใช้จุลินทรีย์ การคัดพันธุ์ข้าว ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการสอนของผมก็คือ ผมจะบอกนักเรียนชาวนาทุกคนตั้งแต่เริ่มแรกว่าผมเชื่ออะไร ทำเพื่ออะไร เป้าหมายคืออะไร
ถ้าเราพยายามมุ่งหาแต่เทคนิค สิ่งที่รู้มาจะพาเราไปถึงไหนก็ไม่รู้ มันมีโอกาสที่จะหลงทางไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่เราต้องมีวิถีพุทธกำกับเป็นแนวทาง ผมและข้าวขวัญเรามีวิถีพุทธเป็นหนทาง ทำให้เราไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น เราต้องไม่โกรธ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช้ความรุนแรง เราถึงจะได้ปัญญาญาณ(intuition)จากธรรมชาติ”
Written By
More from pp
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ แจ้งเตือนข่าวปลอม “ใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ฆ่ามะเร็งในคน”
ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง ใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ฆ่ามะเร็งในคน กรมการแพทย์ โดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่ายังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้
Read More
0 replies on “พี่เดชา ศิริภัทร กับ แม่โพสพ – นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว”