เปลว สีเงิน
เห็นคนไทยกระฟัดกระเฟียดเอากับรัฐบาลเรื่องวัคซีน นึกถึงตอนเป็นนักเรียน
โรงเรียนเลิก….
หิวซ่ก กลับถึงบ้าน ปรากฏว่า “ข้าวยังไม่สุก”
หม้อข้าว ซึ่งเป็นหม้อดินใบใหญ่ ยังตั้งอยู่บนเตาฟืน แม่กำลังสาละวน หันไปซนฟืนใส่เตาที หันมาโขลกเครื่องแกงในครกที
แม่หน้ามันเยิ้ม แต่ลูก คือผม หน้างอ
โมโหหิว….
โกรธ… แม่หุงข้าวช้า!
แต่พอสุก แม่คดข้าวใส่ชามกาละมังให้ลูกคนละใบ ปลากระบอกเค็มพาดหัวชามคนละตัว ใครไม่อิ่ม ก็ไปคดเอาเอง แกงในหม้อ ก็ไปควานเนื้อ-ควานน้ำ ราดๆ เอา
ปรากฏว่า ทุกคนพุงปลิ้น แต่ข้าวเหลือคาหม้อถึงเช้าทุกวัน!
ประเด็นน่าใคร่ครวญก็คือ วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาไว้ตามแผน มันพอแน่ เพียงอยู่ระหว่างการเดินทางมา “ตามเทอมเวลา” เท่านั้น
เหมือนข้าวในหม้อบนเตา
มันมีให้ลูกทุกคนได้กินแน่ แต่มันยังไม่สุก รอเดี๋ยวนะ (แม่ไม่ซัดเอาด้วยไม่ขัดหม้อก็บุญแล้ว)
จากมิถุนา.ไป ปัญหาจะไม่ใช่ “วัคซีนพอมั้ย” แต่มันจะเป็นว่า “วัคซีนมาแล้ว แต่คนมาเรียงแถวรอรับฉีดกันพร้อมมั้ย?”
อย่าให้เหมือนพอข้าวสุก กินคำ-สองคำ พอคลายหิว ก็ทิ้งชามข้าวไปเล่นกัน
ลงท้าย ปรากฏว่า ข้าวเหลือเบะคาหม้อ ประมาณนั้น
ยิ่งหลังมิถุนา.ไป…..
เมื่อสยามไบโอไซเอนซ์ของไทยเรา “เคลียร์คิว” เสร็จแล้ว ตานี้แหละ “ไทยผลิต-ไทยใช้”
ปลายปีเป็นต้นไป ใส่ตุ่มตั้ง ๔ มุมเมือง ใครใคร่ฉีด-ฉีด, ใครใคร่อาบ-อาบ เอากันให้โควิดร้องจ๊ากก….หนาวววโว้ยไปเลย!
ช่วงนี้ ก็เข้าใจ ทุกคนคล้าย “โมโหหิว” เพราะพี่โควิดรอบนี้หยอกแรงเกิ้น อยากฉีดกันทั้งนั้น
เห็นนายกฯ โพสต์เฟซเมื่อวาน (๒๒ เมย.)…….
ตามที่ผมได้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศ เจรจาหารือกับรัฐบาลรัสเซียโดยตรง เรื่องวัคซีนสปุตนิก ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ เพิ่มมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคำตอบจากรัสเซียว่า
ประธานาธิบดีรัสเซีย ยินดีให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว เนื่องด้วยไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องกับรัฐบาลปัจจุบัน…ฯลฯ
และรัฐมนตรีอนุทินก็โพสต์ คุยว่าเจรจากับไฟเซอร์ ตกลงเขาจะขายให้แล้ว ๑๐ ล้านโดส
ก็มากันใหญ่ ทั้งสปุตนิก ทั้งไฟเซอร์ ที่น่าคิด คือ มานั้น-มาแน่ แต่จะมาเมื่อไหร่ล่ะ เพราะที่คุยยังแค่ “ซาวข้าว” เท่านั้น
อย่าถามสุกเมื่อไหร่ ต้องถามว่า….
“แล้วจะได้หุงกันเมื่อไหร่ ชาตินี้หรือชาติหน้า?”
แต่ไม่มีปัญหา พูดเล่นไปงั้น
เพราะที่มันเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ อยู่ตรงที่ “คนเขาอยากฉีด” แต่วัคซีนที่หามี มันยังมา “ไม่ทันอยาก” ให้ฉีด เท่านั้น
พอถึงมิถุนา.ยันธันวา.แอสตร้าเซนเนก้า, ซิโนแวค จะเหมือน “ข้าวสุก” รอตักใส่ปาก มาต่อเนื่อง ๔๐ กว่าล้านโดส
ก็กินกันให้ทันเถอะ
คือจัดคิว “คนฉีด-คนรอรับฉีด” กันอย่าให้สะดุด-หยุดชะงัก อย่างน้อยๆ ต้องฉีดให้ได้วันละ ๕ แสนคนขึ้นหรือถึงล้านได้ยิ่งเจ๋ง
คนมาพร้อม แต่วัคซีนอาจไม่พอ ก็ไม่ต้องห่วงประเด็นนั้น เพราะถึงตอนนั้น สมมติสปุตนิกมา ไฟเซอร์มา ก็รับช่วงต่อเนื่องกันไป เรียกว่า “ไม่ขาดตอน”
แต่ถ้าเป็นแค่ “วัคซีนทิพย์” ก็ไม่มีปัญหาอีกนั่นแหละ ในเมื่อ โรงงานผลิตวัคซีน “สยามไบโอฯ” ก็ของเรา-อยู่ในบ้านเรา
Thai First เข้าใจมั้ย?
ฉะนั้น สรุปแล้ว เรื่องวัคซีน จากเดือนหน้าไป “มี-ไม่มี” ไม่ใช่ปัญหา
แต่ที่เป็นปัญหาตอนนี้ คือ “มี….แต่มันยังไม่มา”
เหมือนข้าวตอนหิว…มี เดือดพลั่กๆ อยู่บนเตา แต่มันยังไม่สุก รอแป๊บ…ประมาณนั้น!
สำหรับสปุตนิกน่ะ….
ผมเชื่อเครดิตนายกฯ เชื่อความรู้สึกที่ดีต่อประเทศไทย-คนไทยและต่อพระมหากษัตริย์ไทย ของท่านประธานาธิบดีปูติน
“สปุตนิก” มาแน่ และจะมาแบบ “โดยพลัน”!
จบเรื่องวัคซีน….
มาคุยเรื่อง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กันบ้าง เมื่อวาน (๒๒ เมย.๖๔) อัยการทำข่าวลือล่วงหน้าให้เป็นความจริงที่ชัดเจนแล้วว่า
“พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา มีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร ในคดีถือครองหุ้นสื่อ
พลันสิ้นแถลง พลันเสียงวิพากษ์ถึงอัยการขรม!
คงไม่ต้องให้บอก ว่าเขาวิพากษ์อัยการด้านไหน แต่มีประเด็นหนึ่ง มีคนให้ความเห็น ทำนองว่า
“แบบนี้ อัยการก็หักศาล” น่ะซี!?
รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๑ วรรคท้ายบอก”คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”
ในเมื่อศาลฯมีคำวินิจฉัยไปเมื่อ พย..๖๒ ว่า
“ธนาธรขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง จากการถือครองหุ้นสื่อ บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด แต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตัดสินให้ธนาธรพ้นสภาพการเป็น ส.ส.”
แล้วมาวันนี้ เมื่อคดีอาญาถึงชั้นอัยการ อัยการกลับมีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง”
เอ๊ะ…มันยังไงกัน ในเมื่อคำวินิจฉัยของศาลฯ ผูกพันทุกองค์กร แบบนี้ อัยการเบ่งกล้ามเหนือศาลฯ อย่างนั้นหรือ?
ผมกลัวจะไปกันใหญ่…..
ด้วยคนส่วนหนึ่ง “ไม่รู้-ไม่เข้าใจ” ก็ใช้ความรู้สึกตอบสนองคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการเมื่อวานไปทางนั้น
ซึ่งมัน “ไม่ใช่”!
กรณีนี้ ต้องให้ความเข้าใจกับกระบวนการพิจารณาของอัยการ และให้ความเป็นธรรมกับธนาธรด้วย
คือ คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นส่วนคดีตามกฎหมายเลือกตั้ง คนละเรื่องกับคดีอาญา
ส่วนที่อัยการสั่งคดีไป เป็นคดีอาญา เป็นอีกด้านที่กกต.ต้องทำตามขั้นตอน หลังศาลศาลฯ วินิจฉัยด้านเลือกตั้ง
ดังนั้น จึงไม่ใช่การหักล้าง หรืออัยการการะทำขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ประเด็นนี้ ผมเห็นที่คุณ “อึ้งเอี๊ยะซือ เทื้อเอี้ยวเกีย อึ้งเอี๊ยะซือ มารน้อยบูรพาอึ้ง” โพสต์เฟซเมื่อวาน
ต้องบอกว่า “ใช่เลย”
และขอโหนคุณอึ้งด้วยขอคัดมา ดังนี้
มีหลายคนเข้ามาสอบถามพี่อึ้งกันเยอะกับเรื่องนี้ พี่อึ้งขอว่า อย่าเพิ่งไปด่า ไปโทษใครนะจ๊ะ
เพราะเรื่องเอาผิดคดีอาญาเนี้ย องค์ประกอบมันต้องครบทั้งสองส่วนคือ องค์ประกอบภายนอก หรือการกระทำ และองค์ประกอบภายใน หรือ เจตนา ถึงจะเอาผิดใครได้
. กรณีที่ กกต.ฟ้องคดีอาญานายธนาธรนั้น เป็นกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา ๑๕๑ ที่เขียนว่า
กรณีที่ กกต.ฟ้องคดีอาญานายธนาธรนั้น เป็นกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา ๑๕๑ ที่เขียนว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี “
ปัญหา คือ …..
จะต้องมีเอกสาร หลักฐาน ที่เป็นประจักษ์พยาน มาประกอบสำนวนคดี ชี้ชัดว่า นายธนาธรรู้อยู่แล้วว่า ตนเองมีลักษณะต้องมิให้ใช้สิทธิ์ แต่เจตนาละเมิดกฎหมาย
ถ้าไม่มีเอกสาร หรือพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ นายธนาธรเพียงอ้างว่า “ไม่มีเจตนา” ก็เอาผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 151 ไม่ได้แล้ว
ซึ่งตรงนี้ แตกต่างจากคำร้องที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
สมาชิกภาพ สส.ของนายธนาธร สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๑ เพราะมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๘ หรือไม่
ซึ่งลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ถ้าหากมีลักษณะต้องห้าม สมาชิกภาพก็ต้องสิ้นสุดลงทันที
ต่างจากคดีอาญาตาม กฎหมายเลือกตั้งที่จะต้องมีองค์ประกอบความผิดครบทั้ง ๒ ประการคือ การกระทำและเจตนาทำผิด
พี่อึ้งพยายามพูดให้เป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่าย ๆ อย่าไปโทษ ไปด่าใคร คดีอาญานั้น จะต้องพิสูจน์ให้ศาลรับฟังได้อย่างสิ้นสงสัยว่า
จำเลยกระทำผิดโดยมีเจตนา หรือเล็งเห็นผล ของการกระทำนั้น หากเป็นไปโดยประมาทเลินเล่อไม่เจตนากระทำ ก็อาจไม่ต้องรับผิด
ครับ….มันเป็นเช่นนี้แล
ก็เห็นใจอัยการ แต่ทำไงได้ จากคดี “บอส-เรดบลู” ภาพอัยการเลยฝังใจคน
เหมือนคนเคยเมาขับรถชน ถึงไม่ได้เมา แต่วันไหนรถชนหรือชนรถ ก็จะถูกคนชี้หน้าก่อนเลยว่า”เมาขับอีกละซี”!
การสั่งไม่ฟ้องธนาธร กรณีนี้ พอเข้าใจได้
ว่า “พี่ไม่ได้เมาแล้วขับ” ครับพ้ม!