ผักกาดหอม
ชัดๆ นะครับ….
ม็อบ ๔๔๔ ไม่ใช่ม็อบ ๕๕๕
ฉะนั้นไม่ขำ
ม็อบนี้ของจริงหรือไม่ มีความพยายามแคะแกะเกากัน พอหอมปากหอมคอ แต่ยังสรุปไม่ได้ เพราะแค่เริ่มต้นเท่านั้น
ม็อบ ๔๔๔ เคลมว่าเป็นม็อบแดงผสมเหลือง
หากว่าตามทฤษฎีสี
ที่ได้มาคือ “สีส้ม”
ไม่ใช่ส้มก้าวไกล แต่เป็นส้มจี๊ดในตำนาน “จตุพร-อดุลย์”
แล้วมวลชนมาจากไหน?
ตรวจสอบจากที่นั่งหน้าเวทีปราศรัย สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ถนนราชดำเนิน สวมแต่เสื้อสีแดง!
หาสีเหลืองไม่เจอ
มองหน้ามองตาคนขึ้นเวทีปราศรัย รื้อจากกรุแทบทั้งหมด
เป็นเครือข่ายแดงสาย “จตุพร พรหมพันธุ์ – วีระกานต์ มุสิกพงศ์” เสียส่วนใหญ่
และเกือบทั้งหมดเดินตามหลัง “จตุพร” เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ เข้าร่วมพิธีรับหมวกและผ้าพันคอพระราชทานต่อเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่จิตอาสา โครงการจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ”
ตามพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวันนั้นภาพของ “จตุพร” คือจิตอาสา เป็นพลังแผ่นดิน
กลับกันมวลชนเสื้อแดงบางส่วนประกาศตัดขาด เพราะมองว่า “จตุพร” เปลี่ยนไป
ขบวนการเสื้อแดงแตกเป็นก๊ก จึงไม่แปลกที่งานนี้ไม่มี “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”
ไม่มีเครือข่าย นปช.ฝั่ง หมอเหวง-ธิดา
รวมถึงแดงเพื่อไทย
เสื้อแดงที่นั่งหน้าเวทีเกือบทั้งหมดจึงเป็นแฟนพันธุ์แท้ “จตุพร”
ปลายปี ๒๕๕๓ “จตุพร” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศว่า จะทำการเดินสายไปแต่ละพื้นที่เพื่อทำการยุบกลุ่ม นปช.
เหตุผลคือ นปช.เองก็รอวันสลายตัวไปตามกาลเวลา เนื่องจากภารกิจของ นปช.ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในวันนั้น “จตุพร” ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่แดงห่มเหลือง
และตอบโต้เสียงวิจารณ์ว่า การใส่เสื้อเหลืองเป็นจิตอาสา ทุกพรรคการเมือง ทุกองค์กรสามารถทำกันได้ คนในตระกูลชินวัตรเองก็ทำเช่นกัน
“อุดมการณ์ทางการเมืองของผมไม่เคยเปลี่ยนไป เพียงแต่ท่วงทำนองอาจจะอ่อนลงไปตามวัยและเวลาเท่านั้นเอง”
แต่ดูเหมือนเป็นคำอธิบายที่ไร้ผล เพราะคนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ ไม่ถือ “จตุพร” เป็นผู้นำอีกต่อไป
ในบรรดาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ “จตุพร” จึงดูเหมือนถูกโดดเดี่ยว
และเหตุผลหลักมาจากการที่ “จตุพร” ประกาศไม่ล้มเจ้า
แล้วอะไรทำให้ “จตุพร” กลับมาแสดงบทบาทใหม่อีกครั้ง
ผ่านไป ๗ ปี ทำไมเพิ่งลุกขึ้นมาไล่ประยุทธ์
ความรู้สึกช้า หรือทนประยุทธ์ต่อไปไม่ไหวแล้ว หรือมีเหตุผลอื่นที่บอกใครไม่ได้
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม “จตุพร” ตั้งธง “ประยุทธ์” ต้องออกไป เพราะเป็นตัวปัญหา
และย้ำชัดเจนว่าไม่แตะ ม.๑๑๒ บนเวทีปราศรัยจะเป็นเพียงเวทีให้ความรู้เท่านั้น จะไม่มีการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด
ต่างจากม็อบสามนิ้วอย่างสิ้นเชิง
เบื้องต้นจึงสรุปง่ายๆ เป็นการแยกปลาออกจากน้ำ
ใครล้มเจ้าไม่ต้องมา
ทำไมต้องแยก?
“จตุพร” ต้องการประเมินกำลัง หรือแค่ระบายความในใจ
คนทำม็อบต่างรู้ดีว่า การไล่รัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย
“สนธิ ลิ้มทองกุล” นำม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไล่ทักษิณ ชุมนุมยืดเยื้อ เปลี่ยนรัฐบาลโดยพลังของประชาชนไม่สำเร็จ
สุดท้าย “บิ๊กบัง” ทำรัฐประหาร เปลี่ยนรัฐบาลแทน
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” นำมวลมหาประชาชนเรือนล้าน ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชุมนุมค่อนปีไล่รัฐบาลนางดอกไม้ไม่สำเร็จ
สุดท้าย “บิ๊กตู่” ทำรัฐประหาร
แล้ว “จตุพร” คิดอะไร?
ประเมินการชุมนุมของตัวเองไว้อย่างไร
ประเด็นรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จในการสร้างเงื่อนไขการชุมนุม
และความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น บทเฉพาะกาลใน รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ สร้างขึ้นมาเพื่อ ให้อำนาจแก่ คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไปอีกระยะ
อยู่ต่อเพื่ออะไร?
“จตุพร” ก็ประเมินออก อยู่ที่จะพูดความจริงหรือไม่
การชุมนุมคราวนี้ ต่างจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างสิ้นเชิง เพราะมวลชนแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
การนับหนึ่งใหม่ โดยเคลมว่าเป็นม็อบผสมสี แต่ภาพออกมายังคงเป็นการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปีกของ “จตุพร”
ขณะ “อดุลย์ เขียวบริบูรณ์” ที่ถูกชูให้เป็นตัวตั้งตัวตีชุมนุมไล่ประยุทธ์นั้น คือมรดกตกทอดมาจากพฤษภา ๓๕
มีแต่ตัว ไร้มวลชน
ทำไมต้องไล่ประยุทธ์ แล้วทำไมต้องไปเทียบกับสุจินดา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกรัฐบาลล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น
รัฐบาลประยุทธ์ก็มีปัญหา แต่ถามว่ามีมากกว่ารัฐบาลในอดีต อาทิ รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลอภิสิทธิ์ หรือไม่
แล้วทำไมประชาชนเบื่อนักการเมือง
ปัญหาการเมืองไทย ไม่ได้มีแค่เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องรัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่ยังมีเรื่องความศรัทธาในตัวนักการเมืองด้วย
และนั่นเป็นเหตุให้ประยุทธ์อยู่มาได้ถึง ๗ ปี
ไล่ประยุทธ์ไปได้แล้วไงต่อ
เพื่อไทย ก้าวไกล เป็นรัฐบาล มาแล้วแน่ใจหรือว่าจะไม่ถูกไล่ต่อ โดยเฉพาะก้าวไกล เพราะพฤติกรรมสนับสนุนให้เด็กล้มเจ้า
ครับ…ไล่ประยุทธ์ คงยาก
ต่อให้ “จตุพร” ยึดราชประสงค์ ปทุมวัน ราชดำเนิน ชุมนุมยืดเยื้อ “ประยุทธ์” ก็ยังอยู่ และ “จตุพร” ก็รู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร
หรือสับขาหลอกเพื่อภารกิจอื่น
มีคนจับตามองอยู่นะตัวเอง!