กรณี เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ยกเลิก 112” ระบุว่า ส.ส. ควรผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยเร็วที่สุด พร้อมเปิดเผยว่าอัดอันที่ตนเองยอมกลืนเลือดสมัยก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้มาตรา 112 เพื่อให้ทุกคนปรานีกับพรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง นั่นกลายเป็นตราบาปและแผลเป็นที่ฝังในจิตใจจนวันนี้นั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหาในทางกฎหมาย ไม่ว่าจะมองในด้านใดด้วยใจเป็นธรรม และด้วยใจที่เป็นปกติ ทั้งในแง่ของการนำมาใช้ และการตีความ รวมทั้งสัดส่วนของการกำหนดอัตราโทษ เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้มาโดยตลอดทุกฉบับว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประเทศของเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
หากแต่ในยุคปัจจุบัน กลับมีพวกนักเรียนนอก ร่วมมือกับนายทุนนอกคอก ที่มิได้ศึกษาและเรียนรู้ประวัติรากเหง้าของชาติของแผ่นดิน พยายามที่จะกระแดะลอกเลียนวัฒนธรรมตะวันตกบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เพื่อให้ประทศไทยเป็นดั่งสังคมแบบนั้น จึงพยายามใช้กลเล่ห์มาปลุกปั่นเด็กๆและเยาวชน โดยมีคณาจารย์ในสถาบันการศึกษาบางคนเป็นหางแถวและเครื่องมือ ในปลุกเร้าและถ่ายทอดทัศนะที่ผิดเพี้ยนให้มุ่งไปสู่แนวทางที่ตนเองต้องการ โดยไม่สนใจว่าบริบททางกฎหมายจะเป็นเช่นใด เราจึงเห็นพฤติกรรมและการกระทำของเด็กเยาวชนจำนวนมากที่ท้าทาย มาตรา 112 ซึ่งก็จำเป็นอยู่เองที่ประชาชนจำนวนมาก เรียกร้องให้ผู้บังคับใช้กฎหมายจะต้องบังคับใช้มาตราดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ถึงแม้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็น “ผู้แทน” ของ “ราษฎร” บางคนอยากผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 ให้จงได้ แต่ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ส.ส. เหล่านั้นมีผู้ใดบ้าง ที่กล้าท้าทายแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพราะอาจเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองได้ ทั้งนี้ประเทศไทยคือประเทศไทย ไม่ใช่ทาสรับใช้พวกตะวันตก การบัญญัติและการคงอยู่ของกฎหมายดังกล่าว ย่อมสอดรับกับค่านิยมวัฒนธรรม ประเพณีทางกฎหมายของไทย ซึ่งไม่ขัดหรือแย้งต่อการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแต่อย่างใด หากการใช้สิทธินั้นไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
เราไม่อาจปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” ถูกล้างสมอง จนต้องโดนข้อหาจนต้องเข้าคุก เข้าตะราง โดยที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยังลอยนวลอยู่อีกต่อไปได้ สังคมไทยต้องช่วยกันลากใส้ เอาบุคคลเหล่านี้มาลงโทษตามครรลองของกฎหมายโดยเร็ว หากปล่อยให้ยืนผยองอยู่ในสังคม ก็รังแต่จะสร้างความแตกแยก สร้างปัญหาให้กับชาติ ให้กับแผ่นดินต่อไป โดยเอาเด็กและเยาวชนของชาติ มาเป็เป็นเครื่องมือในการทดลองทางอุดมการณ์ของตน นั่นเอง