ตั้งธงไว้จะไปปักหมุดที่ใหม่ๆ ในอินเดียช่วงสิ้นปีนี้ เลยรีบเสิร์ชหาข้อมูลจนไปเจอ “อาห์เมดาบัด” (Ahmedabad) เมืองหลวงเก่ารัฐคุชราต ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอินเดีย ซึ่งน่าสนใจเกินกว่าจะเป็นแค่ทางผ่าน หรือจุดแวะพัก เพราะที่นี่เป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องเป็นเมืองมรดกโลกแห่งแรกในอินเดีย และยังเป็นบ้านเกิดของมหาตมะคานธี (Mohandas Gandhi) นักเคลื่อนไหวผู้ทรงอิทธิพลของอินเดียและของโลก เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวยังไม่พลุกพล่านมากนัก ผู้คนท้องถิ่นเป็นมิตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งด้านคมนาคมที่เดินทางสะดวก มีที่พักกระจายอยู่ทั่วเมือง ร้านอาหารก็พรั่งพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ และเมื่อได้ไปเยือนจะรู้สึกได้ถึงความรุ่งเรืองในอดีตด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามมากมาย ที่สำคัญสามารถเที่ยวได้อย่างสบายใจสบายกระเป๋า จึงไม่แปลกใจเลยที่เมืองนี้จะเป็นเป้าหมายของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ช่างภาพ และแบคแพคเกอร์ทั้งหลาย
ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดียได้สะดวกกว่าแต่ก่อนมาก เพราะมีสายการบินที่ให้บริการบินตรงยังจุดหมาย โดยไม่ต้องต่อเครื่องให้วุ่นวาย ซึ่งไทยสมายล์ เป็นคำตอบที่ดีที่สุดของนักเดินทางที่มีเวลาจำกัด และต้องการความสะดวกสบายแบบขีดสุด ดูจากไฟล์ทบินแล้ว ไทยสมายล์ สายการบินฟูลเซอร์วิส ที่บินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่ท่าอากาศยานนานาชาติอาห์เมดาบัด สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน คือ จันทร์ พุธ พฤหัสบดี และศุกร์ นั่นแปลว่า เราสามารถแพลนทริปช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ได้เลยโดยไม่กระทบเวลางานและเวลาเรียน ส่วนการเดินทางในเมืองนั้น สะดวกสบายด้วยรถแท็กซี่หรือสามล้อราคาถูก หากต้องการสัมผัสกลิ่นอายของอินเดียอย่างใกล้ชิดก็ลองเรียกรถยนต์สามล้อ ระบุสถานที่ให้มั่นเหมาะแล้วตกลงราคาให้ดี จากนั้นก็ลุยเลย
มาถึงอาห์เมดาบัดแล้ว สถานที่สำคัญที่ต้องไปเยือนให้ได้ ก็คือ “อาศรมของคานธี” หรืออาศรมซาบาร์มาตี (Sabarmati Ashram) ซึ่งรัฐคุชราตนั้นเป็นเมืองบ้านเกิดของท่านคานธีนั่นเอง อาศรมตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำซาบาร์มาตี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 นาที ซึ่งปัจจุบันบ้านและศูนย์บัญชาการที่เคยเป็นที่พักของคานธีในระหว่างปีค.ศ. 1915 ถึง 1930 ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาโบราณวัตถุซึ่งเกี่ยวข้องกับคานธีไว้นับร้อยชิ้น นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสจิตวิญญาณนักสู้แบบอหิงสาเพื่ออิสรภาพของอินเดีย พร้อมเยี่ยมชมภายในบ้านและบริเวณรอบๆ อาศรมที่ถูกปกคลุมด้วยร่มเงาไม้ได้ทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ (ปิดให้บริการวันจันทร์) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
แต่ถ้าอยากชมอาคาร สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า ที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิก และสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัยอย่างลงตัว ซึ่งเหมาะแก่การถ่ายภาพที่สุดก็ต้องไปตามสถานที่เหล่านี้ เริ่มกันที่กำแพงเมืองขนาดใหญ่ แม้จะสร้างขึ้นมากว่า 600 ปีแล้วแต่ยังคงตั้งตระหง่าน แข็งแกร่ง ท้าแดดลมฝนจนถึงทุกวันนี้ ป้อมบาห์ดรา (Bhadra Fort) สร้างในปีค.ศ. 1466 โดยสุลต่าน อาห์เหมด (Sultan Ahmed) สร้างอุทิศแด่พระแม่กาลี เทพเจ้าที่ประชากรทางใต้ของอินเดียให้ความนับถืออย่างมาก นักท่องเที่ยวจึงควรเคารพสถานที่และปฏิบัติตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่
ต่อมาคือสถานที่ที่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกด Sidi Saeed’s Mosque สุเหร่ากลางเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ด้วยโครงสร้างทรงสูง มีเสาขนาดใหญ่ สร้างด้วยศรัทธาเพื่ออุทิศให้กับท่านซิดิ ซาอิด ขุนนางผู้ประกอบคุณงามความดีมากมายในสมัยนั้น สถานที่แห่งนี้จึงสวยงามทรงพลังอย่างยิ่ง พลาดไม่ได้กับการเก็บภาพความงดงามของช่องหน้าต่างหินฉลุลายหรือ Jalis ในชื่อ Tree of Life ที่จะจุดไฟความเป็นศิลปินในตัวเราให้ลุกโชน ขยับเข้ามาในเมืองเก่าเละสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนเส้นทางมรดก หรือ Heritage Walk เส้นทางที่สามาถเดินชมสถานที่เก่าแก่ในเมืองอาห์เมดาบัด อาทิ วัดฮินดู Swaminarayan Mandir อายุกว่า 200 ปี ถูกสร้างโดย Swaminarayan Bhagwan ผู้ก่อตั้งศาสนาฮินดู ด้านในประดิษฐานพระนารายณ์และพระแม่ลักษมี โดยแบ่งโซนสักการะสำหรับชาย-หญิง จากนั้นเดินลัดเลาะบ้านเรือนและตลาดเราก็จะพบมัสยิดที่เหมาะกับคนรักศิลปะ อย่าง Jama Masjid ที่โดดเด่นด้วยการตกแต่ง เสารองรับโครงสร้างมัสยิดทั้ง 260 ต้นที่แตกต่างกัน เหมือนกับการได้ชมงานศิลปะทางศาสนาบนเสาแต่ละต้นเลยทีเดียว
เปลี่ยนบรรยากาศมาที่กลางแจ้งกันสักหน่อยกับ Sarkhej Roza ซึ่งเป็นสถานที่กว้างขวางมีทั้ง สุเหร่า (Mosque) สุสาน (Tomb) และมีทะเลสาบขุด (Ahmed-Sar Lake) ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้อาจมีน้ำอยู่เต็มหรือในบางครั้งจะเหือดแห้งสนิทให้สามารถลงไปเดินได้เลย แต่ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ชวนให้ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาอยู่ดี เมื่อเข้ามาด้านในจะพบกับสุเหร่าอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุกว่า 6 ศตวรรษ ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสเสน่ห์แห่งอารยธรรมเก่าแก่นี้ได้รู้เบื่อ ต่อด้วยแลนด์มาร์คแห่งใหม่ อย่าง วิหารอักชารดาห์ม (Akshardham Temple) วัดที่สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการแบบอินเดียโบราณ โดยใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมนั่นคือ ไม่ใช้โครงสร้างโลหะแต่จะใช้หินทรายในการก่อสร้าง จึงทำให้เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการรับรองโดยกินเนสส์บุ๊คเมื่อปีค.ศ. 2007
นอกจากสถานที่สำคัญทางศาสนาแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์คือ สถาปัตยกรรมโอ่อ่ายิ่งใหญ่ของ Dada Harir Stepwell ซึ่งคนที่ชอบถ่ายรูปคงอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานสักหน่อย เพราะทุกมุมทุกจุดเป็นแบ็คกราวน์ที่ทรงคุณค่ายากจะหาที่ไหนเหมือน โดดเด่นด้วยเสาหินสลักลายประณีตบรรจง สวยงามจนเกือบลืมไปว่าเป็นที่เก็บกักน้ำสมัยโบราณ และไม่ใช่แค่แห่งเดียวเท่านั้น อัมห์ดาบาดยังมีที่เก็บกักน้ำสมัยโบราณ ซึ่งเรียกว่า Vav อีกหลายแห่ง ซึ่งอาจต้องเดินทางออกมานอกเมืองสักหน่อย อย่าง Rani Ki Vav เพิ่งได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก (World Heritage Site) ในปีค.ศ. 2014 และ Adalaj Stepwell ที่สวยงามและมีมนต์ขลังไม่แพ้กัน
เที่ยวจนเพลินใกล้จะต้องกลับเมืองไทย เมื่อรู้ว่าซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วฟรีน้ำหนักกระเป๋ามากถึง 30-40 กิโลกรัมจากสายการบินไทยสมายล์ ก็ควรชอปให้จุใจเสียก่อน แนะนำให้แวะ Manek Chowk ตลาดเช้าจรดค่ำที่คึกคักมากที่สุดของเมืองอาห์เมดาบัด ด้วยเสียงคนขายของหาบเร่ตะโกนบอกราคา เชิญชวนผู้ซื้อและผู้เดินเที่ยวชมตลาด ชวนให้เราต้องหันมอง ซึ่งของที่ต้องซื้อกลับไทยให้ได้ก็น่าจะเป็นขนมหลากหลายรสชาติ โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวรสจัดจ้าน หรือถ้าชอบพวกของสวยๆงามๆ ก็ต้องอัญมณี และผ้า อันเป็นเอกลักษณ์ของฝากของอินเดีย และหากมาเดินตลาดในช่วงเช้า ก็จะได้พบเจอผักและเครื่องเทศด้วย เดินสักพักเกิดหิวขึ้นมาก็ซื้ออาหาร Street Food ที่แสนอร่อยบนท้องถนนเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตแบบคนท้องถิ่น
เชื่อว่าผู้ที่เคยไปเยือน “อาห์เมดาบัด” แม้เพียงเวลาสั้นๆ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงสถานที่และความทรงจำสุดประทับใจ “อาห์เมดาบัด” จะยังคงเป็นหนึ่งในดวงใจของใครหลายๆ คนอย่างแน่นอน