นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงติดลบมากที่สุดในเอเชียตะวันออก โดยในไตรมาส 3 ยังคงย่ำแย่และติดลบต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.4 ซ้ำเติมจากไตรมาส 2 ที่ติดลบถึงร้อยละ 12.2 แม้จะติดลบลดลงแต่ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะพ้นจุดต่ำสุด และจะยังย่ำแย่ลงต่อไปอีก
จากธุรกิจที่จะปิดตัวมากขึ้น จำนวนคนว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นอีก และหนี้เสียธนาคารที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้อยากให้ตามที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลอ่านบทวิเคราะห์ของเดอะวอลล์ สตรีท เจอร์นัล และ นิคเคอิ เอเชีย ที่บอกเศรษฐกิจไทยจะแย่ยิ่งกว่าสมัยต้มยำกุ้งด้วย
ทั้งนี้ไม่อยากให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พยายามขายฝันเหมือนที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ได้เคยทำและล้มเหลวมาแล้ว โดยบอกว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามาในปี 2564 และลงทุนจริงในปี 2565 เป็นไปไม่ได้
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องที่นายสุพัฒนพงษ์และนายอาคมคิดว่า “ชิมช้อปใช้” , “คนละครึ่ง” , “ช้อปดีมีคืน” จะสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ เป็นความคิดที่ผิดแล้ว ความคิดแจกเงินแล้วเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นก็เหมือนกับการให้ยาแก้ปวดแล้วคิดว่าจะรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะโครงการดังกล่าวเป็นเพียงนโยบายของเล่นเพื่อหาเสียงเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้
ส่วนการผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่พูดถึงความมั่นคงของสถานะการเงินการคลังของไทยที่มีทุนสำรองต่างประเทศ แต่ไทยยังจะมีปัญหาอีกมากน่าจะเป็นเรื่องจริง และอยากฝากให้ดูแลค่าเงินบาทที่ทำท่าจะแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกรณีที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจคนใหม่คงพูดตามสคริปต์ เพราะก่อนหน้านี้ออกมาบอกคนจนของไทยลดลง สวนทางกับความเป็นจริง โดยคนจนของไทยในปี 2560-2563 มีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก เช่นเดียวกับที่รัฐบาลยังมีการแจกบัตรคนจนกว่า 14.6 ล้านคน
ล่าสุด ทูต 5 ประเทศทั้ง สหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเยอรมัน ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาล 10 ข้อ ซึ่งเป็นการเรียกร้องครั้งที่สองแล้ว แสดงว่า รัฐบาลมีปัญหาในการบริหารประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองได้เสนอแนะให้ปรับเปลี่ยนระบบราชการไทยให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด หรือ Digitalization ซึ่งจะทำให้เกิดความโปร่งใส สะดวก ไม่ซ้ำซ้อน ลดการทุจริตคอร์รัปชัน และลดขนาดราชการของประเทศไทยลงซึ่งเป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน