องค์การสหประชาชาติ เสนอโมเดลทางเลือก ในการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเติบโตที่มีคุณภาพ  ภายใต้ข้อตกลงสีเขียวโลกฉบับใหม่ ในการฝ่าวิกฤติสู่การปฏิรูปสังคม และเศรษฐกิจโลก  

กรุงเจนีวา ( 25 กันยายน 2562 ) ทุกประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติภายในปี 2573 ได้ แต่เพียงแค่หากเราแสดงเจตจำนงทางการเมืองอันแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงกฎกติกาของเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และปรับเปลี่ยนนโยบายการพัฒนาที่เน้นการระดมเงินทุน เพื่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถต่อยอดและผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเชิงบวกต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนภายใต้การนำของภาครัฐ
นายริชาร์ด โคซุล-ไวร์ท ผู้อำนวยการฝ่ายของอังค์ถัด ที่รับผิดชอบการจัดทำรายงาน กล่าวว่า “ประโยชน์จากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอดีต ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนในสังคมทั้งหมดอย่างเสมอภาค ภายใต้รูปลักษณ์ของนโยบาย กฎกติกา พลวัตของตลาด และพลังของภาคธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ความแตกต่างของสถานภาพทางเศรษฐกิจน่าจะเป็นไปในทางที่เพิ่มขึ้น และความเสื่อมโทรมของสภาพสิ่งแวดล้อมจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของนโยบายปัจจุบัน”
รายงานได้สะท้อนถึงประเด็นเชิงนโยบายในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นยุคเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำที่สุดครั้งใหม่ ดังนั้น รายงานจึงได้เสนอให้คิดใหม่ – ทำใหม่ ตามข้อตกลงสีเขียวโลกฉบับใหม่ (A Global Green New Deal) เพื่อหยุดยั้งวงจรอุบาทว์ของเศรษฐกิจเดิมที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น โดยได้กล่าวถึงเหตุการณ์ของช่วงปีแห่งการบีบคั้น และความไร้เสถียรภาพจากวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก และจะนำมาซึ่งการตอบโจทย์สังคมและเศรษฐกิจใหม่ อันจะช่วยนำพาให้เกิดการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมยิ่งขึ้น และหันหลังกลับจากทศวรรษแห่งการเสื่อมถอยทางสิ่งแวดล้อมได้ นโยบายนี้ได้นำเสนอชุดมาตรการแห่งการปฏิรูป ในการทำให้ระบบการบริหารจัดการหนี้สิน เงินทุน และธนาคาร ทำงานเพื่อการพัฒนาและให้การสนับสนุนด้านเงินทุนกับข้อตกลงใหม่นี้
โลกของเราในปัจจุบันกำลังเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แปรผัน อันได้ส่งผลโดยตรงต่อมนุษยชาติอย่างชัดเจน และพร้อมที่จะคุกคามมนุษย์ในหลายด้าน แต่ในเวลาเดียวกัน วิกฤตการณ์ดังกล่าวก็ได้ก่อให้เกิดแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ เศรษฐกิจใหม่ที่ไม่พึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ดังนั้น ความต้องการลดปริมาณคาร์บอนในเศรษฐกิจโลก จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดการทะยานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการลงทุนภาครัฐ ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาอาศัยระบบพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง และปรับกระบวนทัศน์ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด การลงทุนด้านการคมนาคมและพลังงานที่สะอาด และระบบการผลิตอาหารจึงย่อมได้รับความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ และจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนโดยนโยบายอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิผล ได้แก่ การให้เงินอุดหนุนที่มีเป้าหมาย การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การให้เงินกู้และกลไกที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อาทิ การค้ำประกัน ตลอดจนการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน เพื่อการลงทุนทั้งในด้านการวิจัย การพัฒนา และการปรับใช้เทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับภาคปฏิบัติจริง
ในการสนับสนุนนโยบายเหล่านี้ รายงานได้แสดงทัศนะต่อการสร้างความตกลงทางการค้าและการลงทุนขึ้นใหม่ รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่มาตรการที่เจาะจงมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินที่มีการอุทิศทรัพยากรอย่างชัดเจน จะต้องดำเนินไปในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยเหลือให้กลุ่มประเทศดังกล่าวก้าวข้ามเส้นทางการพัฒนาสู่ระบบเศรษฐกิจที่ลดการพึ่งพาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไปได้
ตามแนวทางที่วางไว้ข้างต้น รายงานยังได้กำหนดแผนที่นำทาง (Roadmap) ที่สามารถนำไปสู่อัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะเพิ่มขึ้นที่ระหว่างร้อยละ 1-1.5 ต่อปี จากเดิมเทียบเคียงกับรูปแบบของอุปสงค์โลกในปัจจุบัน สำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ไม่นับรวมประเทศจีน ระดับของการเพิ่มจะใหญ่ขึ้น โดยจะอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 1.5-2 ต่อปี ส่วนประเทศจีนจะขยายตัวที่ระดับต่ำกว่านี้
โจทย์ของเราก็คือ เราจะต้องทำอย่างไร หากเรายังต้องการจะเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปได้ในโลกที่อยู่ภายใต้วิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงไปแล้ว ?
การคาดคะเนถึงการเพิ่มขึ้นของการลงทุนสีเขียว (Green Investment) รวมที่อัตราร้อยละ 2 ต่อปี ของผลผลิตของโลก หรือประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือแค่เพียงหนึ่งในสามของจำนวนเงินที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ใช้จ่ายในปัจจุบันจากกองทุนที่เกี่ยวข้องในการให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล (อาทิ กองทุนอนุรักษ์พลังงาน) นักเศรษฐศาสตร์จากอังค์ถัด คาดการณ์ว่า การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่อาศัยเทคโนโลยีสะอาดมากขึ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อาจสามารถสร้างงานใหม่อย่างน้อยอีกถึง 170 ล้านตำแหน่งงานในโลก และก่อให้เกิดการปรับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาพรวม ภายในปีเป้าหมายของวาระการพัฒนาแห่งปี 2573
แต่รายงานก็ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายด้านการลงทุนที่เปิดกว้างและจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น ทั้งในด้านการขจัดความยากจน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการ ปัญหาสุขอนามัย และคุณภาพของการศึกษา ซึ่งล้วนเป็นประเด็นสำคัญต่อการพัฒนา แต่ย่อมจะก่อให้เกิดภาระทางงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่ภาครัฐ นอกเหนือจากการพัฒนาด้านอื่น ๆ ที่ต้องการใช้งบประมาณเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีไม่เพียงพอ อันส่งผลต่อความไม่ยั่งยืนต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาก ขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญเงื่อนไขที่จะต้องดำเนินการปฏิรูปเชิงระบบครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งระบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงระบบการเงินของประเทศในเชิงลึกที่เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนา หากต้องการให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นได้ตรงเวลาในปี 2573
นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินโลกเป็นต้นมา ทางออกเชิงนโยบายที่โน้มเอียงไปสู่การอาศัยกลไก เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมของโลก ได้ล้มเหลวและนำไปสู่ทิศทางการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รายงานประจำปีนี้จึงตั้งข้อทักท้วงให้มีการทบทวนประสิทธิผลของนโยบายที่ดำเนินการในลักษณะเดิม กล่าวคือ การใช้กลยุทธ์และเครื่องมือทางการเงินและการลงทุนอันเป็นที่นิยมของภาคธุรกิจการธนาคารขนาดใหญ่ (Banking Conglomerates) เป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกในปี 2551 เนื่องจากการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ดังกล่าว ล้วนสร้างความผันผวนในตลาดอย่างเป็นกิจวัตร และมุ่งเน้นการลงทุนที่ไม่ได้มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
ดังนั้น รายงานจึงได้กำหนดทางเลือกต่าง ๆ ในรูปของมาตรการเชิงปฏิรูป เพื่อเป็นแนวทางในการผลักดันการระดมเงินทุนต่อข้อตกลงสีเขียวโลกฉบับใหม่ รวมถึงข้อเรียกร้องไปยังประชาคมโลกในการแสดงเจตจำนงทางการเมืองอันแรงกล้า เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนวาระที่สำคัญดังกล่าว
ความท้าทายของภาครัฐ คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของประชากร ซึ่งในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน กำไรของภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหาสังคมและเศรษฐกิจก็คือ การเพิ่มบทบาทของภาครัฐผ่านกลไกของการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน อันส่งผลต่อการจ้างงานในระยะต่อไป หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผลกระทบเชิงบวกของการเพิ่มขึ้นของการลงทุนภาครัฐ ผนวกเข้ากับค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น จะสะท้อนออกผ่านทางการบริโภคของครัวเรือน และการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชน ตามลำดับ
แม้ว่าการเลือกบังคับใช้นโยบายที่เหมาะสมจะมีความแตกต่างกันไปตามบริบทการพัฒนาของแต่ละประเทศ แต่ทุกประเทศจำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่เป็นรากฐานสำคัญเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์แห่งความยั่งยืนอย่างสอดรับกันใน 4 มิติ ได้แก่ 1) มาตรการกระตุ้นทางการคลัง 2) การลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน 3) การลงทุนภาครัฐในการพัฒนาพลังงานสีเขียว และ 4) มาตรการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน
นโยบายการคลังแบบขยายตัว ซึ่งจะถูกจ่ายด้วยการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตราก้าวหน้า และการเพิ่มเงินทุนในระบบการเงิน (Credit Creation) จะกลายเป็นแนวทางที่มีประสิทธิผล หากมีการบูรณาการของทั้งสองแนวทางในระดับที่เหมาะสม และนำมาซึ่งเสถียรภาพของตลาดมากขึ้น สิ่งสำคัญต่อประสิทธิผลทางการคลังที่สามารถชี้วัดได้ และจะนำมาซึ่งความยั่งยืนทางการคลังก็คือ เมื่อภาคเอกชนได้รับการกระตุ้นและผนึกผลรวมจากการลงทุนเข้าด้วยกัน (Crowding-in) อย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยที่มาตรการทางการคลังจะเป็นเพียงกลไกชี้ทิศทางการลงทุนในเบื้องต้น และไม่ต้องพึ่งพามาตรการของรัฐเพิ่มเติมอีกในระยะข้างหน้า รายงานคาดหมายว่า มาตรการกระตุ้นทางการคลัง จะยกระดับการลงทุนภาคเอกชน และการเติบโตของผลิตภาพในที่สุด เนื่องด้วยการที่เศรษฐกิจของหลายประเทศในปัจจุบัน โดยเฉพาะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ยังคงกำลังเผชิญกับอุปสงค์ที่ไม่เพียงพอ หรือขาดความสมดุล
มุมมองของ นายมูคิซา คิตุยิ เลขาธิการอังค์ถัดคนปัจจุบัน ระบุว่า “ นัยสำคัญด้านอนาคตทางการเงินที่จะถูกพลิกโฉมไปจากอดีตเป็นอย่างมากจะอยู่ที่ศักยภาพของแต่ละประเทศในการแสวงหาและจัดสรรเงินทุนสำหรับวาระการพัฒนาแห่งปี 2573 และจะต้องอาศัยการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบพหุภาคีในทุกแขนงขึ้นใหม่ที่อยู่ในการโอบล้อมของแนวคิดของข้อตกลงสีเขียวโลกฉบับใหม่ ” รายงานได้นำเสนอแนวทางและมาตรการเชิงปฏิรูปในการทำให้การบริหารจัดการหนี้สิน เงินทุน และระบบการเงินการธนาคาร สามารถตอบโจทย์การพัฒนาไว้ ดังนี้
          • บทบาทที่เพิ่มขึ้นของบัญชีสิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights: SDRs) อันจะดำเนินไปนอกเหนือจากการเสริมสภาพคล่อง ไปสู่การสนับสนุนข้อเรียกร้องที่มีมาอย่างยาวนานในการจัดตั้งกองทุนเฉพาะกิจเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก เพื่อที่จะมีความสามารถสนับสนุนทางการเงินที่ยืดหยุ่นและกำหนดขอบเขตได้ชัดเจน รวมถึงจัดเตรียมการให้เงินทุนฉุกเฉินที่มีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้  โดยปราศจากเงื่อนไขเชิงนโยบายที่เข้มงวด หรือหลักเกณฑ์ที่จำกัดคุณสมบัติในการใช้ประโยชน์จากเงินทุนดังกล่าว
          • โครงการปล่อยเงินกู้ตามในอัตราพิเศษ (Concessional Lending Program) ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลก เพื่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ และปานกลางค่อนข้างต่ำ จำเป็นต้องผสมผสานกลไกด้านการให้เงินทุนใหม่ที่ถูกออกแบบ เพื่ออนุญาตให้ประเทศที่มีส่วนร่วมในการกู้ยืมบนเงื่อนเวลาตามกฎเกณฑ์ของการปล่อยเงินกู้ข้างต้น พร้อมด้วยแหล่งเงินกู้เฉพาะทางเพิ่มเติมที่ถูกออกแบบ เพื่อภาครัฐจะสามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในการตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจนถึงปี 2573
          • การจัดตั้งกองทุนโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มุ่งเน้นและมีส่วนร่วมสนับสนุนจากประเทศผู้ให้เงิน (Donor Countries) ซึ่งยินยอมจ่ายในข้อผูกพันที่ยังไม่ได้บรรลุตามเป้าหมายของเงินสนับสนุนการพัฒนาเป็นทางการ (Official Development Assistance: ODA) ที่อัตราร้อยละ 0.7 ของมวลรวมรายได้ประชาชาติ รวมถึงจัดหาทรัพยากรที่พร้อมอุทิศสำหรับชดเชยส่วนที่ได้ส่งมอบยังไม่ครบถ้วนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา (ประมาณมากกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2533)
          • ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและเชื่อมโยงระบบการเงินของภูมิภาคให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินใหม่ พร้อมกับส่งเสริมการค้าและพัฒนามูลค่าเพิ่มทางการเงินภายในภูมิภาคที่นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกด้านการระดมเงินทุนสำรอง โดยผ่านกลไกสัญญาแลกเปลี่ยนเงินทุนสำรอง (Reserve Swap) ของภูมิภาคอันเรียบง่าย และการจัดทำข้อตกลงร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านสภาพคล่องทางการเงิน และการยกระดับประสิทธิภาพของระบบการชำระและโอนเงิน และสหภาพอันเป็นศูนย์กลางสำหรับการเคลียร์เงิน (Clearing Union) ของภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น
          • การกำหนดให้มีแนวทางเชิงกฎระเบียบในการอำนวยความสะดวกด้านการแก้ไขหนี้เสียของประเทศ (Sovereign Debt) อย่างเป็นระบบและเป็นธรรม โดยไม่ต้องยึดถือตามกรอบระเบียบและเงื่อนไขเดิม แต่จะต้องได้รับการบริหารจัดการโดยหลักการ และสารัตถะแห่งกฎหมายระหว่างประเทศอันเป็นที่ตกลงยอมรับร่วมกันของทุกฝ่าย
          • การพยายามหยุดยั้งการไหลเวียนของเงินทุนข้ามพรมแดนที่ผิดกฎหมายด้วยเหตุจูงใจทางภาษี โดยการพัฒนาระบบภาษีหนึ่งเดียว ซึ่งรับรู้ถึงผลกำไรของวิสาหกิจข้ามชาติ จะถูกสร้างขึ้นร่วมกันในระดับกลุ่ม พร้อมกับผสมผสานเข้ากับอัตราภาษีนิติบุคคลของโลกที่มีผลบังคับในขั้นต่ำที่สุดกับผลกำไรของวิสาหกิจข้ามชาติเหล่านี้ ซึ่งควรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 20-25 อันเป็นอัตราเฉลี่ยปัจจุบัน (Nominal Rates) ทั่วโลก
          • การทำให้มาตรการควบคุมเงินทุน (Capital Controls) เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายในการบริหารจัดการเศรษฐกิจอันถาวร จำเป็นต้องแยกส่วนของธุรกรรมที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงทางการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคและทวิภาคี แต่ยังคงจัดหาการประสานงานและการควบคุมดูแลในระดับพหุภาคี ซึ่งรวมถึงเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วด้วย
          • การจัดตั้งเครือข่ายของธนาคารกลางที่เป็นแกนนำในแต่ละภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Financing) อย่างจริงจัง ซึ่งจะต้องพลิกบทบาทไปสู่การเป็นผู้สนับสนุนและจัดการทางการเงินสีเขียวในธนาคารของรัฐที่มุ่งมั่นตั้งใจอย่างจริงจังต่อการดำเนินงานดังกล่าว โดยสนับสนุนผ่านกลไกชี้นำตลาดที่มีดำเนินการอยู่แล้วทั่วไปในปัจจุบัน อาทิ มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (Quantitative Easing) จากเดิมที่เป็นเพียงผู้รักษาเสถียรภาพราคา และผู้บริหารจัดการเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ
          • การให้เงินทุนแก่ธนาคารเพื่อการพัฒนาและธนาคารของรัฐมากขึ้น เพื่อกลุ่มธนาคารเหล่านี้จะสามารถยกระดับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อการพัฒนา โดยดึงทรัพยากรของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) มาดำเนินการ เพื่อตอบสนองความจำเป็นในการพัฒนา เนื่องด้วยสินทรัพย์ของกองทุนดังกล่าวที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบรรดาอารยประเทศ มีมูลค่าสูงถึง 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ และยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ประโยชน์ด้านการพัฒนาเท่าที่ควร ความจำเป็นข้างต้นย่อมรวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการพัฒนา และการประสานงานของกลุ่มธนาคารในประเทศกำลังพัฒนารุ่นใหม่ อันจะนำไปสู่การสร้างการเชื่อมต่อทางการเงินและช่องทางใหม่ในการระดมทุนระหว่างกลุ่มประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
Written By
More from pp
ชาวหาดใหญ่ สงขลา ขอบคุณน้ำใจ ประธานอาวุโสเครือซีพี  ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ โครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” ขยายโอกาสเข้าถึงยาสมุนไพรไทย 
ชาวหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขอบคุณเครือเจริญโภคภัณฑ์ (เครือซีพี) จัดโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” ขยายโอกาสประชาชนเข้าถึงยาสมุนไพรไทย ตามนโยบายประธานอาวุโสเครือซีพี  ธนินท์ เจียรวนนท์ ภายใต้แนวคิด “ร้อยเรียงความดีซีพี...
Read More
0 replies on “องค์การสหประชาชาติ เสนอโมเดลทางเลือก ในการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเติบโตที่มีคุณภาพ  ภายใต้ข้อตกลงสีเขียวโลกฉบับใหม่ ในการฝ่าวิกฤติสู่การปฏิรูปสังคม และเศรษฐกิจโลก  ”