เปลว สีเงิน
๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐
“พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”
เสด็จพระราชสมภพ
ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น ประเทศสหรัฐอเมริกา
ถึงวันนี้ ๙๘ ปีผ่านไป แต่พ่อ “พระผู้สถิตบนฟ้า” ยังคงอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออกของมวลพสกนิกรไทย
๕ ธันวา.ของแต่ละปี ด้วยกตัญญู ลูกๆ จะพนมมือ แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า น้อมเศียรกราบพ่อ เพราะรู้ว่า พ่อกำลังเฝ้ามองดูความเป็นไปของลูกๆด้วยพระทัยที่ผูกพัน
ไม่ว่าชาติไหนๆ ถ้าได้เกิด…..
ลูกขอมีวาสนา ได้เกิดมาเป็นข้าในแผ่นดินของพ่อพระมหาภูมิพลตลอดไปด้วยเถิด
วัน “๓ มหามงคล” แห่งแผ่นดินประชุมพร้อมกันในวันที่ ๕ ธันวาคมนี้ คือวันชาติ วันพ่อแห่งชาติ และวันดินโลก
ฉะนั้น ไม่ควรที่เราจะประทับรับรู้ “สิ่งมงคล” ด้วยจิตเศร้า
ผมจึงขอนำ “เรื่องเก่า-เล่าสนุก” ที่ “คุณโรม บุนนาค” ท่านรวบรวม “พระอารมณ์ขัน” ของ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ไว้ โดยขอคัดลอกบางเรื่องมาให้อ่านกัน
………………………………………..
รักในหลวงรัชกาลที่ ๙
เรื่องเก่า เล่าสนุก
“แจกปริญญาหลับใน”
ในการไปพระราชทานปริญญาบัตรที่ “มหาวิทยาลัยประสานมิตร” ครั้งหนึ่ง
ทรงมีพระราชดำรัสกับที่ประชุมถึงการเสด็จฯ มาพระราชทานปริญญาบัตรครั้งก่อนว่า
“…ประมาณสองปีมาแล้ว ตอนเช้าได้ทำฟัน คือว่าหมอฟันมาเจาะฟัน เจาะจนเกือบจะทะลุคางไป (เสียงฮา) … เพราะว่าทะลุฟันซี่นั้นถึงราก ถอนเอาประสาทออก แล้วหมอฟันทั้งหลายก็สนุกสนานไป (เสียงฮา) กินเวลาประมาณสองชั่วโมง
เวลาบ่ายโมงครึ่งก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็รับประทานไม่ไหว ปากมันชาไปหมด…
ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ต้องมาแจกปริญญาที่นี่…ฤทธิ์ของยายังอยู่ ยังสบายดี แต่ทว่าหน้าตาไม่ค่อยดี ก็แจกปริญญาไป นับจำนวนไป
นับไปนับมา แจกไปแจกมา ก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามาหา มารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา)
ความจริง ตอนนั้นกำลังหลับอยู่ (เสียงฮา) ก็ตกใจตื่น (เสียงฮา) แต่บังเอิญตอนนั้น การแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟัน ก็ส่วนปวดฟัน (เสียงฮา)
ส่วนหลับใน ก็ส่วนหลับใน (เสียงฮา) มีเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” ต้องโสตประสาท ตกใจตื่นทั้งตัว
แต่ว่าหลังตกใจตื่นขึ้นมา อาการปวดฟันหายไปจริงๆ นี่พูดตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย รู้สึกว่ากะปรี้กะเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป
ทำด้วยความรู้ตัวด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจ ที่เขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ”
…………………………….
“ผู้หญิงตกเป็นของใคร”
ชาวเขา เป็นชนเผ่าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับ “พระเจ้าอยู่หัว” มาก ทรงเสด็จไปเยี่ยมเป็นประจำ
นอกจากทรงแนะนำเรื่องทำมาหากินแล้ว บางครั้งก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทปัญหาในครอบครัวด้วย อย่างเช่น
ชาวเขาคนหนึ่ง ได้มากราบทูลร้องทุกข์ว่า
เขาได้เสียหมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งไปในการขอเมียมา แต่พอได้หมู-ได้เงินแล้ว เมียกลับหนีตามชู้ไป
“พระเจ้าอยู่หัว” ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
ทรงนำเรื่องนี้มาเล่าด้วยพระอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป…ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน”
รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล และทรงเล่าต่ออีกว่า สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้น ก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย
“ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้…”
…………………………………………………
“เพื่อนเยอะเหมือนกัน”
“บ๊อบ โฮป” ดาวตลกเอกของโลก เป็นอีกผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกับ “พระเจ้าอยู่หัว” ตั้งแต่ครั้ง “บ็อบ โฮป” มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดง “กล่อมขวัญทหารอเมริกัน” ในเวียดนาม
ระหว่างแวะพักที่กรุงเทพฯ
“บ็อบ โฮป” ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ โดยโปรดเกล้าฯ จะพระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย
“บ็อบ โฮป” กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนมาด้วย”
“ได้เลย… ไม่ขัดข้อง” รับสั่งตอบ “พาเพื่อนของยูมาได้เลย”
“ต้องขอขอบพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของข้าพระพุทธเจ้าด้วย”
คืนนั้น “บ็อบ โฮป” ได้นำวงดนตรีของเขาเข้าไปเล่นถวายอยู่จนดึก จึงกราบกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านพักของเขาบ้าง รับสั่งว่า
“ยินดี… ฉันจะพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ”
“บ็อบ โฮป” กราบบังคมทูลเสียงอ่อยๆว่า “คิดด้วยเกล้าฯว่า ตกลงพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องนี้ “บ๊อบ โฮป” นำไปเล่าอย่างสนุกสนานในรายการโทรทัศน์ของเขาที่อเมริกา
…………………………………………..
“ทรงเผชิญเจ้าลิเก”
ครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จไปเยี่ยมบ้านราษฎรผู้หนึ่งถึงบนบ้าน คณะผู้ตามเสด็จต่างแปลกใจในการกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ที่คล่องแคล่วอย่างน่าฉงนของเจ้าของบ้าน
เมื่อ “พระเจ้าอยู่หัว” มีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดี เขาก็กราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า…”
และเมื่อทรงรับสั่งถามถึงนกที่เลี้ยงไว้ในกรงว่าเป็นนกอะไร และมีกี่ตัว ลิเกเก่าก็กราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์อย่างเต็มยศว่า
“มีทั้งหมด ๓ ตัวพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี มันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้ ๒ ตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”
เรื่องนี้ ผู้ตามเสด็จต้องกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้แต่พระเจ้าอยู่หัว
…………………………….
“ชื่อเดียวกัน”
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กราบทูลกับพระเจ้าอยู่หัวนั้น นับเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นประหม่าแก่คนทั่วไปที่ไม่ได้กราบทูลอยู่เป็นประจำ
แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ความตื่นเต้น ก็อาจทำให้การเตรียมตัวมานั้นกระเจิดกระเจิงไปได้ เมื่อเวลาจริงมาถึง
“ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ” รองราชเลขาธิการ ได้เล่าไว้ว่า ครั้งหนึ่ง ข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่ง กราบบังคมทูลรายงานว่า
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรี ภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน… ”
“พระเจ้าอยู่หัว” ทรงแย้มพระสรวล รับสั่งอย่างมีพระอารมณ์ขันว่า
“เออ ดี เราชื่อเดียวกัน…”
ทำเอาผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนอาการขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
………………………………………….
“แอลกอฮอล์ขจัดเชื้อโรค”
เหตุเกิดในปี ๒๕๑๓ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอ กราบทูลให้ไปแอ่วบ้านเฮา
“พระเจ้าอยู่หัว” ก็เสด็จตามผู้ทูลชวนไปถึงบ้าน ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ มุงหญ้าแห้ง
เจ้าของบ้านอุตส่าห์เอาที่นอนมาปูสำหรับให้เป็นที่ประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่คงไม่เคยได้ล้าง จึงมีคราบดำจับเปรอะ
ตามปกติ แค่ถ้วยที่มีคราบพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงใช้อยู่แล้ว ผู้ติดตามจึงกระซิบทูลว่า ควรแค่ทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยพระราชทานมา จะจัดการเอง
แต่ “พระเจ้าอยู่หัว” ก็ทรงยกถ้วยขึ้นกระดกจนเกลี้ยง หลังจากนั้นรับสั่งว่า
“ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด”
……………………………………….
“ถวายพระเพลิง”
เมื่อครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระโอสถมวน (สูบบุหรี่) และเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยหนึ่ง
ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดครุย มีพระประสงค์จะทรงพระโอสถมวน พอทรงหยิบพระโอสถออกมา อธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ ก็รีบจุดไฟแช็คให้พร้อมทูลว่า
“ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า”
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลตรัสกับอธิการบดีว่า
“ยังก่อน.. ยังก่อน เรายังไม่ตาย”
……………………………………..
“แขนตกไปข้างเดียว”
เมื่อครั้งเสด็จไปเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดสกลนคร ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าโดยแขนข้างหนึ่งเข้าเฝือกไว้ พระเจ้าอยู่หัวทรงถามว่า
“แขนเจ็บไปโดนอะไรมา ”
ชายคนนั้นตอบว่า”ตกสะพาน”
ในหลวงรับสั่งถามอีกว่า “แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ ”
ชายคนนั้นก็ตอบว่า
” แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วย ตกข้างเดียว”
ในหลวงก็ทรงพระสรวล
…………………………………………….
“ราชาศัพท์ฉบับ ส.ส.”
ไม่แต่ราษฎรทั่วไปเท่านั้นที่ไม่ถนัดกับการใช้ราชาศัพท์
โดยเฉพาะตอนมีวาสนาได้เข้าเฝ้า “พระเจ้าอยู่หัว” ระดับผู้แทนราษฎร ก็ยังปล่อยมุขฮา ในเรื่องนี้มาแล้ว
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรจังหวัดหนึ่งโดยรถไฟ ทางจังหวัดจึงจัดรถพระที่นั่งถวายสำหรับเสด็จพระราชดำเนินในจังหวัด
ส.ส.ผู้หนึ่ง ขออาสาให้ใช้รถของตัวเป็น “รถพระที่นั่ง” และขอเป็นสารถีเอง เพื่อเป็นเกียรติของชีวิต
ครั้นนำรถไปจอดที่ลาดพระบาทหน้าสถานีรถไฟ เมื่อ “พระเจ้าอยู่หัว” เสด็จพระราชดำเนินมา ส.ส.ผู้นั้น ก็เปิดประตูรับเสด็จ โค้งถวายความเคารพ พร้อมกราบทูลเชิญเสด็จขึ้นประทับบนรถ
แต่ความตื่นเต้นกลับทำเหตุ นึกราชาศัพท์คำว่าเชิญเสด็จที่ท่องมาไม่ออก หรืออาจไม่ได้เตรียมไว้ จึงกราบบังคมทูลว่า
“อ้า..อ้า..นิมนต์พ่ะย่ะค่ะ”
“พระเจ้าอยู่หัว” แย้มพระสรวลน้อยๆ แล้วเสด็จขึ้นประทับบนรถตามคำกราบบังคมทูลนิมนต์
……………………………….
จิตแจ่มใสจาก “พระอารมณ์ขัน” กันใช่มั้ยล่ะ ก็ต้องขอบคุณ “คุณโรม บุนนาค” ผู้รวบรวมเป็นเล่มไว้นานแล้ว มีผู้นำไปเผยแพร่ต่อๆ กันมากมาย
ความจริงมีอีกหลายเรื่อง แต่ผมคัดมาเท่าที่เนื้อที่จะอำนวยเท่านั้น
๕ ธันวา.นี้ ผมขออธิษฐานจิตถึงทุกท่าน
ขอจงเป็นวันนำชัยชีวิตสู่สิ่งดีๆ จากการที่เรา “ทำดี-คิดดี-พูดดี” ตลอดๆ ไป ทุกคนนะครับ.
เปลว สีเงิน
๕ ธันวาคม ๒๕๖๘

